จี้ตลท.ดึงเอกชนร่วมแก้ไขปัญหาสังคม

   ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะทำงานประชารัฐเพื่อสังคม(E6) ครั้งที่ 2/2560 เพื่อหารือและติดตามความก้าวหน้าประเด็นเร่งด่วนที่คณะทำงานฯ ได้แก่ 1.การจ้างงานผู้พิการ 2.การจ้างงานผู้สูงอายุ 3. การส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณอายุ 4.ที่อยู่อาศัยผู้สูงอายุ และ 5.ความปลอดภัยบนท้องถนน หรือ “5 Quick Win" ที่ดำเนินการตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา

          ดร.สมคิด กล่าวว่า การดำเนินงานของคณะทำงาน E6 มีความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะด้านการจ้างงานผู้พิการและผู้สูงอายุมีอัตราการจ้างงานมากกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ มีหน่วยงาน องค์กรใหม่ ๆสนใจเข้ามาร่วมและขยายการดำเนินงาน เช่นกลุ่มบริษัทญี่ปุ่นซึ่งนายชิโร ซะโดะชิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้มาร่วมนำเสนอรูปแบบการทำงานด้านการจ้างงานผู้พิการ ผู้สูงอายุ และการร่วมมือด้านความปลอดภัยทางถนนของประเทศญี่ปุ่นที่ได้ดำเนินงานร่วมกับบริษัทเอกชนในประเทศจนประสบความสำเร็จแล้ว และพร้อมให้ความร่วมมือกับประเทศไทยในการดำเนินงานตามนโยบายประชารัฐเพื่อสังคม แต่อยากให้มีความชัดเจนถึงแนวทางความร่วมมือกับภาคส่วนเหล่านี้ 

          ดังนั้นจึงได้มอบหมายให้คณะทำงาน E6 ไปศึกษาเพิ่มเติมประเด็นปัญหาในระดับพื้นที่ เพื่อกำหนดแนวทางความร่วมมือเพิ่มเติมกับกลุ่มองค์กรเหล่านี้ เมื่อมีแนวทางที่ชัดเจนแล้วในส่วนของกระทรวงการคลังจะไปพิจารณาว่าจะต้องมีกระบวนการสนับสนุนอย่างไร เช่นมาตรการช่วยเหลือด้านภาษี เพื่อเป็นการจูงใจให้หน่วยงาน องค์กรเหล่านี้ร่วมเป็นภาคีขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาในระดับชุมชนพื้นที่ต่อไป เพราะเรื่องของคุณภาพชีวิต มีทั้งมิติสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ทุกฝ่ายจึงต้องมาร่วมมือกัน

          “ฝากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเรียกบริษัทที่จดทะเบียน 500 กว่าแห่ง จัดประชุมสัมมนาเพื่อชี้เป้าว่าบริษัทเอกชนแต่ละแห่งสามารถช่วยเหลือประเทศแก้ไขปัญหาสังคมในประเด็นใดได้บ้าง เรียกเข้าแถวมากวดวิชาให้บริษัทได้ตื่นตัว เพราะบางครั้งบริษัทเอกชนก็อยากช่วยแต่ก็ไม่รู้จะเข้ามาช่วยด้านไหน อย่างไร ดังนั้นถึงเวลาแล้วถึงจะต้องมาร่วมมือกันจ้างงานผู้อายุ ผู้พิการ สร้างงานในชุมชน วันนี้บริษัทเอกชนต้องเข้ามา เพราะรัฐบาลเองมีการปรับลดภาษีแล้วก็ต้องคืนสู่สังคมบ้าง 

          ส่วนตัวแล้วก็รู้สึกผิดหวังกับภาคส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะได้เคยไปเชิญมาร่วมมือกันทำงานประชารัฐแล้วแต่ผ่านมากว่า 1 ปี ก็ยังไม่เห็นความคืบหน้า ซึ่งประเด็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยฯภาคธุรกิจอสังหาฯสามารถช่วยได้มาก เพียงแต่ลดกำไรลงบ้างและช่วยกันเพื่อสังคม” ดร.สมคิด กล่าว

          ด้าน นพ.ประเวศ วะสี ที่ปรึกษาคณะทำงานฯ กล่าวว่าขณะนี้เป็นโอกาสของคนไทยที่จะทำเรื่องใหญ่ที่ติดขัดมานานเมื่อรัฐบาลประกาศยุทธศาสตร์ประชารัฐเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก เป็นจุดเปลี่ยนใหญ่ของประเทศไทย 2 เรื่องคือ 1.เปลี่ยนทิศทางการพัฒนาจากการพัฒนาจากบนลงล่าง เป็นการเน้นให้รากฐานแข็งแรงซึ่งจะเป็นจุดเริ่มสำคัญในการแก้ปัญหาด้านต่าง ๆ และ 2.เป็นความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งรัฐและประชาชน จากเดิมที่คิดว่ารัฐเท่านั้นที่มีหน้าที่พัฒนาประเทศ เป็นการร่วมมือกันทั้งรัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม เพราะปัญหาสังคมมีความซับซ้อน ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลสนับสนุนกลไกเครือข่ายจิตอาสาให้เกิดขึ้นเต็มแผ่นดิน เพื่อเป็นเครื่องมือในการทำงานประเด็นต่างๆ ในพื้นที่ต่อไป

          พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ในฐานะหัวหน้าทีมภาครัฐ กล่าวว่าการดำเนินงานของคณะทำงาน E6 มีความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรม และมีผลงานที่วัดได้ทั้งในเชิงมาตรการและเชิงปริมาณเมื่อเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะด้านการส่งเสริมการมีรายได้และมีงานทำของผู้พิการและผู้สูงอายุ ซึ่งปัจจุบันเกิดการจ้างงานผู้พิการภายใต้ความร่วมมือประชารัฐแล้วกว่า 7,500 อัตรา นอกจากนี้ยังมีองค์กรใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ความสนใจเข้าร่วม ทำให้เกิดการต่อยอดไปยังประเด็นอื่นๆ ไม่จำกัดอยู่แค่ 5 ประเด็น quick win และขยายไปสู่พื้นที่โดยอาศัยการเชื่อมประสานกับคณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ(E3) และกลไกในพื้นที่ของ พม., มหาดไทย หรือหน่วยงานรัฐอื่นๆ รวมถึงภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุน และอำนวยความสะดวกในการดำเนินการอย่างเต็มที่ 

          นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานอาวุโสหอการค้าไทย ในฐานะหัวหน้าทีมภาคเอกชน กล่าวว่า ก้าวต่อไปของการขับเคลื่อนงานประชารัฐเพื่อสังคม ภาคเอกชนจะขยายความร่วมมือไปยังเครือข่ายนอกกลุ่มประชารัฐเพื่อสังคม อาทิบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สมาคมการค้า ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการในส่วนภูมิภาค รวมถึงการกำหนดเป้าหมายในการขยายความร่วมมือกับบริษัทต่างประเทศในประเทศไทย โดยเฉพาะการขยายการจ้างงานคนพิการไปยังกลุ่มบริษัทญี่ปุ่น โดยขับเคลื่อนร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ซึ่งเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นฯ ได้ให้เกียรติเข้าร่วมด้วย 

          นอกจากนี้จะประสานความร่วมมือระหว่างคณะทำงาน E3 และคณะทำงาน E6 เพื่อขับเคลื่อนการทำงานเชิงพื้นที่ผ่านกลไกการทำงาน และโครงการต่าง ๆ เช่นบริษัทประชารัฐรักสามัคคีที่มีอยู่ทุกจังหวัด โดยเชื่อมั่นว่าความร่วมมือของ 2 คณะทำงานตามแนวทางประชารัฐ จะเสริมพลังการทำงานและมีส่วนช่วยสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจและสังคมไทยได้ในระดับหนึ่ง

p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: justify; font: 16.0px ‘Angsana New’; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
span.Apple-tab-span {white-space:pre}

           ทั้งนี้ในการประชุมดังกล่าวยังมีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง อาทิสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บมจ.ปตท. (PTT) เข้าร่วมกว่า 150 คน