เปิดมุมมอง “ดร.สมคิด”ตั้งใจฟัง “อนาคตประเทศไทย อนาคตเศรษฐกิจอีสาน”

ขอบคุณมากที่เชิญผมมาร่วมงานในวันนี้นะครับ ถือเป็นเกียรติอย่างสูงและผมก็มีความตั้งใจที่จะมา ผมเรียนพวกท่านตรง ๆเลยนะครับว่าสุขภาพวันนี้ผมไม่ค่อยจะดี แต่ว่าผมอยากจะมาเพราะงานแบบนี้มันเป็นงานรวมพลังของคนไทยและมันต้องรวมแบบนี้ในมุมที่กว้าง ประเทศไทยเราถึงจะเจริญก้าวหน้าไปได้ ผมมาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ใหญ่ 2 ประการ

ประการแรกคือมาให้กำลังใจกับคนอีสานนะครับ วันนี้ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะอีสานก็ยังไม่ค่อยจะดี แต่มันเป็นเพราะว่าโลกทั้งโลกในขณะนี้เศรษฐกิจมันย่ำแย่มากและสินค้าเกษตรราคามันก็ตกต่ำกันทั่วโลก แต่ผมคิดว่าขณะนี้สถานการณ์หลาย ๆด้านเริ่มดีขึ้นโดยลำดับ อยากเรียนให้ทราบว่าท่านนายกรัฐมนตรีท่านเป็นห่วง และสิ่งที่อยู่ในจิตใจท่านตลอดก็คือว่าจะทำอย่างไรให้เกษตรกร ให้คนไทยที่ยังยากจนอยู่มากได้มีโอกาสพัฒนา มีความสุขสมบูรณ์ มีความมั่งคั่งมากยิ่งขึ้นในอนาคตข้างหน้า

ประการที่ 2 ที่ผมมาเพื่อมีประโยคอยู่ 2 ประโยคที่จะบอกท่าน เอาประโยคแรกก่อนนะครับ ผมจะบอกว่าโอกาสของอีสานกำลังจะมาคราวนี้มาจริง ๆนะครับท่าน ในอดีตที่ผ่านมาผมเรียนให้ท่านทราบตรง ๆเลยเมื่อสัก 15 ปีที่แล้วผมมีโอกาสร่วมตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาพรรคหนึ่ง ผมเขียนนโยบายในการพัฒนาอีสานในขณะนั้นทำเป็นแผ่นพับ ในแผ่นพับนั้นระบุว่าอีสานจะมีทั้งทรัพยากรธรรมชาติ มีทั้งการเกษตรมีทั้งโบราณสถาน มีหลาย ๆอย่างทีเดียวที่มีศักยภาพสูงมาก อยู่ที่ว่าเราจะเอาพลังเหล่านั้นมาใช้กันได้ยังไง สร้างพลังร่วมให้มันเกิดขึ้นได้ยังไง

แต่มันน่าเสียดายอย่างยิ่งเลยที่ว่าเวลาผ่านมา 10 กว่าปี แม้ว่าอีสานจะพัฒนามากยิ่งขึ้น แต่มันก็ยังช้าไม่ทันใจ ทั้ง ๆที่อีสานนั้นมีภูมิภาค มีพื้นที่ถือว่าใหญ่เป็นอันดับแรกของประเทศไทย มีประชากร 1 ใน 3 ของประเทศ มีทรัพยากรบุคคล คนอีสานเนี่ยผมจะบอกให้เลยว่าเป็นกำลังคนที่สำคัญที่สุด มีความอดทน ขยัน ทำงานได้ทุกประเภทและมีส่วนทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองมาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา โรงงานอุตสาหกรรมที่ผุดเป็นดอกเห็ดในเมืองไทยเนี่ย ถามว่าแรงงานมาจากไหนส่วนใหญ่ก็มาจากอีสานทั้งนั้น แรงงานที่หลบหนีความยากจนเข้าสู่โรงงานจนกระทั่งสร้างสรรค์ประเทศให้เจริญ แต่แม้กระนั้นอีสานก็ยังเป็นดินแดนที่ถือว่ามีความยากจนที่สุดแห่งหนึ่ง มีความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้มากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ถามว่าเพราะอะไร ผมคิดว่าเรื่องนี้อยากให้เครือข่ายประชารัฐไปนั่งวิเคราะห์กันเอาเองว่าเพราะอะไร แต่ผมจะบอกว่ามองไปข้างหน้าโอกาสของอีสานกำลังจะมา

ประการแรกโอกาสจากภายนอก ผมคิดว่าพวกเราคงทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของการเมืองในภูมิภาคพอสมควร ผมจะพูดเพียงสั้น ๆท่านเชื่อไหมว่าในทศวรรษนี้ความเจริญรุ่งเรืองทั้งหลายมันมาสู่เอเชีย ขนาดเศรษฐกิจโลกไม่ค่อยจะดี เศรษฐกิจเอเชียก็ยังถือว่าเป็นเศรษฐกิจหลักที่ทำให้โลกทั้งโลกเติบโตอยู่ได้ความเจริญมันเคลื่อนย้ายจากตะวันตกมาสู่ตะวันออก จีนเป็นประเทศที่มีพลังเศรษฐกิจสูงมาก ญี่ปุ่นถึงแม้ว่าเศรษฐกิจในช่วงหลังไม่ค่อยจะดีก็ยังถือว่าเป็นประเทศที่มีการพัฒนาในระดับสูง เกาหลีใต้ผมเพิ่งกลับมาจากเกาหลีใต้ได้ไม่นาน ประเทศนี้ก้าวไกล เจริญมากจริง ๆ ไม่น่าเชื่อว่า 30 ปีที่แล้วเค้ายังอยู่ในระดับเดียวกับประเทศไทย และเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วตอนที่ผมไปเยี่ยมเกาหลีใต้เขายังไม่ได้เจริญถึงขนาดนี้ แต่วันนี้เขาเจริญมาก จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ไม่ต้องพูดถึง

อินเดียที่กำลังจะก้าวกระโดดทำให้อาณาเขตบริเวณนี้มันกลายเป็นทั้งตลาด ทั้งเครื่องยนต์ผลักดันเศรษฐกิจโลกที่ยิ่งใหญ่มาก ๆทีเดียว แต่ถ้าสังเกตให้ดี ๆกลุ่มประเทศเหล่านี้นั้นล้วนเชื่อมโยงอยู่กับกลุ่มประเทศในอาเซียนทั้งสิ้น อาเซียนกลายเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า “ซัพพลายเชน”ใหญ่ที่สุดที่คอยผลิตสินค้าเป็นวัตถุดิบ กึ่งวัตถุดิบเชื่อมโยงกับกระบวนการผลิตทั้งหมดของเอเชีย อาเซียนรวมกันแล้วประชากรกว่า 600 ล้านคนเป็นตลาดใหญ่มหาศาล แต่ที่สำคัญถ้าท่านมองดูว่าอุตสาหกรรมอะไรบ้างที่ผลิตในอาเซียน อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมสิ่งทอ สารพัดเลยมีจุดเชื่อมโยงอยู่ที่อาเซียนทั้งสิ้น และยิ่งไปกว่านั้นถ้าเราหดภาพของอาเซียนลงมาสู่เฉพาะกลุ่มประเทศที่เราเรียกว่า “CLMVT” C ก็คือ Cambodia, L คือ Laos, M คือ Myanmar, V คือ Vietnam, T คือ ประเทศไทย เราจะเห็นได้เลยว่า กลุ่มประเทศ CLMVT นี่แหละคือหัวใจที่แท้จริงของอาเซียนเลย

จีนขณะนี้มองเห็นความสำคัญของจุดนี้พยายามผลักดันเรื่องขององค์ประกอบเรื่องล้านช้าง ที่มีจีนเป็นผู้นำบวกกับกลุ่มประเทศ CLMVT นี่คือเกมที่จีนกำลังเล่นอยู่คือพยายามชิงบทบาทจาก ADB สถาบันการเงินที่มีญี่ปุ่นเป็นโต้โผ ญี่ปุ่นเองรัฐมนตรีต่างประเทศของเขาเพิ่งจะเดินทางมาเมืองไทยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็กำลังประกาศความร่วมมือที่ญี่ปุ่นนั้น จะให้การร่วมมือกับประเทศ CLMVT ทั้งหลายในการพัฒนากลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงแข่งกับจีน โดยประกาศว่าจะสนับสนุนให้ประเทศไทยนั้นเป็นศูนย์กลางในการศึกษาป้อนบุคลากรให้กับกลุ่มประเทศในภูมิภาคแห่งนี้ ไม่ใช่แค่จีนกับญี่ปุ่น ทูตานุทูตจากยุโรปเขาเรียกว่าอดีตเจ้านายเก่าของอินโดจีนที่ขึ้นมายึดครองอินโดจีนในอดีต หลาย ๆประเทศเริ่มมองดูภูมิภาค CLMVT มองอย่างเสียดายว่าเขาละทิ้งไปได้อย่างไร อยากจะหวนกลับมาอีกครั้งหนึ่งมาบอกผมว่าให้ช่วยนำคณะนักธุรกิจไปเยี่ยมประเทศของเขา ผมถามว่าไปเยี่ยมประเทศเขาเนี่ยแล้วทางการเค้ายอมรับประเทศไทยไหม ประเทศไทยมีการปฏิวัติเพื่อให้บ้านเมืองมันสงบมันเป็นความจำเป็น ไม่อยากให้คนไทยมาตีกันเขาบอกว่าทางการเมืองยุโรปเขารับไม่ได้ แต่ประเทศของเขานั้นแยกธุรกิจออกจากการเมืองเด็ดขาด พูดง่าย ๆก็คือว่าอยากให้เราทำธุรกิจกับเขาต่อไปแต่ทางการเมืองนั้นรับรองกันไม่ได้ผิดหลักของอียู ผมก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นรอไปก่อนผมยังไม่ไปเพราะขณะนี้ประเทศที่มีความสำคัญกันอย่างยิ่งเลยกับเมืองไทย มองดูแล้วก็คือประเทศในเอเชียนั่นเอง การส่งออกอย่างน้อย 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ เกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ท่านเชื่อไหมว่าเป็นการค้าขายกันภายในกลุ่มประเทศอาเซียน จีนอีกประมาณ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์เศษ ๆ ญี่ปุ่นอีกประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมไฮเทค จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ตลาดที่รองรับสินค้าเอเชียทั้งนั้น

ฉะนั้นความเจริญมันชิพเข้ามาอยู่ตรงนี้ โดยที่อาเซียนนั้นมันคือตัวเชื่อมที่ใหญ่มากแล้วพอซูมเข้าไปมันคือTMS  ซูมเข้าไปอีกทีหนึ่ง ท่านลองหลับตานึกภาพวาดภาพดูนะครับแผนที่ประเทศไทยนี้เวลาที่ท่านวางแผนอีสาน ท่านอย่าไปวางแผนเอากลางแผนที่ประเทศไทยมันล้าสมัยแล้ว ท่านต้องกางแผนที่ว่าอีสานนั้นมันเป็นศูนย์กลางของ TMS การวางแผนใด ๆก็แล้วแต่ต้องคำนึงถึงแผนการพัฒนาของกลุ่มประเทศ TMS แล้วท่านจะได้ประโยชน์เต็มที่หากท่านสามารถคิดสิ่งเหล่านั้นได้ ถ้ามัวโง่งมคิดในมุมกลับมุมแคบ ๆ กางแผนที่ประเทศไทยกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางอันนั้นอีสานจะไม่มีทางพัฒนาเลย ฉะนั้นนี่คือสิ่งแรกที่ผมจะบอกพวกท่านว่า ความเจริญนั้นมันกำลังจะมา เมื่อ TMS หรือกลุ่มแม่น้ำแม่โขงนี่แหละครับมันกำลังเป็นศูนย์กลาง ก็แปลว่าความสนใจในการลงทุนเนี่ยมันเริ่มมา ธนาคาร AIIB ของจีนที่ตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานก็เล็งมาที่ตรงนี้ ญี่ปุ่นไม่ว่า ADB ไม่ว่า JICA ก็เล็งมาที่ตรงนี้ เกาหลีก็เล็งมาที่ตรงนี้เหมือนกัน ฉะนั้นในเมื่อตรงนี้เป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญ อนาคตข้างหน้าถ้าท่านรู้จักใช้ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์มันจะเจริญมาก

ข้อที่ 2 ช่วงที่หลุดจากการเมืองแล้วมีชีวิตอย่างอิสระเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมเดินทางบ่อยมากแล้วบังเอิญเพื่อนผมในอีสาน ผมได้มีโอกาสทัวร์อีสานไปตามเมืองพรมแดนไม่ว่าหนองคาย มุกดาหาร อุดรธานี อุบลราชธานีไล่มาตลอด ผมเห็นแล้วผมตกใจจริง ๆขนาดเศรษฐกิจประเทศไม่ค่อยจะดีแต่ว่าเศรษฐกิจของเมืองชายแดนเหล่านี้พุ่งตลอด ถามว่าที่พุ่งเนี่ยเศรษฐกิจไทยหรือเศรษฐกิจใคร มันเศรษฐกิจลาว เศรษฐกิจเขมร ไปดูการค้าชายแดนของพรมแดนไทย – ลาว 2 แสนกว่าล้าน ไปดูที่สระแก้วไปดูที่แม่สอด ท่านเอ้ยนี่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติเลยนะ รัฐบาลยังไม่ต้องออกแรงอะไรเลย 10 ปีที่ผ่านมานี้เศรษฐกิจลาว เขมร เวียดนามโตเร็วมาก อานิสงค์อันนั้นเนี่ยเวลาเขาเติบโตขึ้นมา คนเราแน่นอนมีตังค์ขึ้นมาเขาก็ต้องการบริโภค สินค้าจากไทยนั้นคนลาว คนเขมรรู้จักยี่ห้อหมดเลยไม่ต้องเสียเวลาโฆษณาเลย มีตังค์แล้วก็อยากจะเที่ยว คนลาวเนี่ยมาเที่ยวที่อุดรธานี อุบลราชธานี กรุงเทพฯเป็นว่าเล่น คนมีสตางค์มาเที่ยวเมืองไทยทั้งสิ้น ฉะนั้นปัจจัยเหล่านี้มันคือสัญญาณบวกชัด ๆว่าดินแดนแถบนี้มันมีโอกาสเจริญสูงมาก และในอนาคตข้างหน้ามันจะยิ่งรุนแรงกว่านี้ จะดีกว่านี้เพราะอะไร เพราะอาเซียนในแถบนี้มันเพิ่งจะขึ้นมาก่อกำเนิดเป็นประชาคมอาเซียนขึ้นจริง ๆ เป็นเออีซีเมื่อปลายปีที่แล้ว ยิ่งถ้าเราพยายามพัฒนาลดข้อจำกัดในเรื่องของการผ่านแดน ลดอุปสรรคทั้งหลายลงไป

และที่สำคัญก็คือว่าถ้าเรารู้จักเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศเหล่านี้ให้แน่นแฟ้น นี่กระทรวงพาณิชย์กำลังจะจัดการประชุมเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เดือนมิถุนายนนี้ หมายความว่าปล่อยให้เป็นอิสระในกลุ่มอันนี้เปิดศักยภาพให้เต็มที่ รัฐมนตรีพาณิชย์ของ CLMVT จะมาร่วมกันหารือในกรุงเทพฯเพื่อคิดถึงยุทธศาสตร์ว่าอนาคตข้างหน้า เวลาคิดยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศจะเชื่อมโยงอย่างไรให้พลังมันเกิดขึ้น แบ่งปันกันภายในประเทศ AEC ด้วยกัน โดยเริ่มจาก CLMVT ก่อน คิดง่าย ๆเลย ถ้าเราถกกันเรื่องของการท่องเที่ยวทำยังไงให้มีการท่องเที่ยวร่วมกัน ทำยังไงให้มีการคอนเนคกันเรื่องของการคมนาคม ทำยังไงให้มีการเชื่อมโยงทางด้านของการเกษตร สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่จะทำให้กลุ่มประเทศนี้ดีขึ้นทั้งสิ้น

เมื่อ AEC เกิดขึ้นสมบูรณ์แบบได้เมื่อไหร่ การเคลื่อนย้ายทรัพยากร การค้าการขาย การท่องเที่ยว การลงทุน มันจะเริ่มก้าวกระโดดเป็นทวีคูณ และมันก็ไม่ใช่ว่าแค่จากข้างนอกเข้ามาข้างใน คนเราค้าขายต้องรู้จักจากข้างในไปข้างนอก การไปลงทุนต่างประเทศไม่ได้หมายความว่าละทิ้งประเทศ เฮดควอเตอร์ยังอยู่ที่ประเทศไทยแต่การลงทุนนั้นเราสามารถที่จะดีไซน์การผลิต การตลาด ผู้ใช้ประโยชน์สูงสุดจากกลุ่มประเทศเหล่านั้น เช่นถ้าทำเรื่องสิ่งทอแรงงานเขาถูกกว่าเราคุณจะมาตั้งโรงงานอยู่ที่กรุงเทพฯได้อย่างไร คุณก็ต้องขยับขยายไปสู่ลาว เขมร เวียดนาม แต่ใช้การดีไซน์และการผลิตสินค้าบางขั้นตอนอยู่ในกรุงเทพ ขณะนี้คุณคงได้ข่าวยักษ์ใหญ่ของเราเริ่มกระโดดไปแล้ว สยามซีเมนต์ไปเวียดนามแล้ว ไทยเบฟไปเทคโอเวอร์กลุ่มเมโทร ธุรกิจรีเทลที่เวียดนาม เซนทรัลไปแล้ว ไปเทคฯกลุ่มบิ๊กซีที่เวียดนาม นี่ยังไม่ได้นับอีกหลาย ๆกลุ่มนะ

ฉะนั้นการไปลงทุนต่างประเทศเริ่มเกิดขึ้นแล้วในกลุ่ม CLMVT ถามว่ารีเทลที่ไปเปิดที่เวียดนามนั้น อนาคตข้างหน้าก็เป็นช่องเปิดของสินค้าแปรรูปเกษตรจากของเราไปขายได้ ผมยุให้เขาเหล่านี้ว่าอย่าไปเปิดแค่ CLMVT ให้ไปเปิดรีเทลที่สหรัฐอเมริกา ที่ยุโรปเพราะว่าสินค้าเกษตรของเราในขณะนี้ไม่ว่าสินค้าสดหรือแปรรูป ฝรั่งเขามาสอยเอา ๆจากที่นี่เนี่ยราคาถูก ๆไปใส่แบรนด์ไปโปรโมทอยู่ที่นู่นสหรัฐอเมริกากับยุโรป ทำไมเราไม่ไปเปิดช่องขายที่นู่นเอาสินค้าของเราไปขายที่นู่น เพราะในการดำเนินธุรกิจเนี่ยช่องเปิดสู่ตลาดมันสำคัญ ผลิตให้ตายไม่มีช่องเปิดมันก็แค่นั้น ฉะนั้นนี่คือสิ่งที่มันกำลังเกิดขึ้นความเจริญเนี่ยมันมาเป็นแอ่งอยู่ที่ประเทศไทย และโอกาสในอนาคตของอีสานมันสูงมาก นี่คือโอกาสจากภายนอก นานทีปีหนมันจะมีแบบนี้นะ สมัย 30 ปีที่แล้ว “น้าชาติ”เป็นนายกรัฐมนตรีท่านบอกว่า “แปลงสนามรบเป็นสนามการค้า” อันนั้นเป็นเพียงแค่ว่าพลิกวิธีการคิดแต่ตอนนี้เนี่ยมันมาของจริงแล้วนะ โอกาสมันไม่ได้มาจากข้างนอกอย่างเดียวโอกาสมันมาจากภายในประเทศด้วย

ท่านต้องดูนโยบายรัฐบาลนี้ที่ออกมา เราไม่คุยนะแต่เราอยากจะให้ดูว่าเราทำอะไรไป ตั้งแต่ที่เข้ามาอยู่ในกลุ่มทีมเศรษฐกิจที่เข้ามาอยู่ในรัฐบาลชุดนี้ 6 เดือนที่ผ่านมา ท่านทราบไหมว่าเงินที่ลงมาสู่อีสานเนี่ยเท่าไหร่ เงินที่ลงมาสู่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเนี่ยเท่าไหร่ ถึงแม้เงินนั้นจะเป็นเงินที่ลงไปพัฒนาทั้งประเทศ แต่ผมบอกได้เลยว่าเงินที่มาอีสานเนี่ยอย่างน้อย 1 ใน 3 แน่นอน ในช่วงปลายปีที่แล้วเศรษฐกิจไม่ค่อยจะดี เราใช้กองทุนหมู่บ้านล็อตแรก 6 หมื่นล้านออกมาตามมาด้วยเงินลงทุนของโครงการตำบลละ 5 ล้านผ่านมหาดไทย ลงไปที่เงินระดับตำบล ตามมาด้วยเงินทุนขนาดเล็กโครงการละ 1 ล้าน ลงมาอีก ตามมาด้วยโครงการประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านมาอีก ท่านนที ขลิบทองนั่งอยู่ที่นี่ ผมเร่งเช้าเร่งเย็นบอกว่า 3.5 หมื่นล้านที่ออกมาให้มาลงทุนเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานการเกษตรของเศรษฐกิจฐานรากไม่ใช่เอาไปใช้อย่างอื่น ชาวบ้านต้องการฝายต้องการแหล่งน้ำ ต้องการโรงงานแปรรูปขนาดเล็กต้องการยุ้งฉาง สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เสนอโครงการเข้ามาและมีเป็นหมื่น ๆโครงการ เขากำลังเร่งลงมาสู่พื้นที่ให้เร็วที่สุด

แค่นั้นไม่พอเรามาดูสินเชื่อธกส.ที่ช่วยพัฒนาเกษตรเท่าไหร่ ล่าสุดเงินอปท.องค์การบริหารท้องถิ่นและภูมิภาค 6 หมื่นล้านบาท มันสะสมอยู่ไม่ได้ใช้ พยายามแกะกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อให้อปท.นำไปใช้ เน้นการพัฒนาพื้นที่ ท่องเที่ยว การเกษตร เศรษฐกิจฐานราก สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่รัฐบาลโดยท่านนายกฯพยายามที่จะเกื้อกูล เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของคนในสังคม เพราะเรารู้ว่าการเกษตรคนอยู่มากที่สุด ทั้งประเทศนี่เกือบ 30 ล้านคน แต่แชร์จีดีพีไม่ถึง 10% คน 30 ล้านแย่งแบ่งเค้กอยู่แค่ไม่ถึง 10% ของผู้ผลิตของประชาชาติ แล้วมันจะอยู่กันได้ยังไง ฉะนั้นในเบื้องต้นคือช่วยอุ้มชูพยุง อันนี้ไม่รวมถึงสิ่งที่มาช่วยเหลือเรื่องของความแล้ง เรื่องของราคาสินค้าตกต่ำ ท่านนายกฯเป็นคนที่รู้ว่าเราสำคัญในเรื่องของชนบท ท่านเทให้ ฉะนั้นเวลาใครมาบอกว่ารัฐบาลไม่เห็นแก่ชาวนาชาวไร่ผมคิดว่าไม่แฟร์กับท่านนายกฯเลย พวกท่านไปดูแล้วจงเป็นปากเป็นเสียงว่าใครดูแลใครไม่ดูแล แต่เราจะไม่ดูแลในสิ่งซึ่งเป็นการลดน้ำที่ใบไม่สร้างความเข้มแข็งในระยะยาวให้กับพี่น้องเกษตรกร

ท่านทราบไหมครับว่าจริง ๆเนี่ยเวลาที่เราช่วยชาวนาทั้งจำนำข้าวหรือไม่ก็ประกันรายได้ มันมี 2 พรรคในอดีต แต่นโยบาย 2 ตัวนี้มันเป็นนโยบายชั่วคราวที่ช่วยพยุงลดความยากจนลงชั่วขณะ แต่มันจะหนักขึ้นเรื่อย ๆเพราะอะไรเพราะราคาสินค้าเกษตรมันมีแนวโน้มลดลงตลอด เพราะว่าประเทศอื่นนั้นผลิตสินค้าซึ่งมันมีมูลค่าเพิ่ม ถ้าเรายังผลิตสินค้าพื้น ๆแล้วขายเราก็จะจนลงเรื่อย ๆ ยิ่งราคาน้ำมันในขณะนี้ตกอย่างนี้มันมีผลทำให้สินค้าเกษตรตกต่ำตามไปด้วย ฉะนั้นไม่ว่าท่านจะจำนำหรือประกันรายได้มันเป็นการบรรเทาชั่วขณะ แต่ที่ผมบอกว่ามันหนักขึ้นเรื่อย ๆเพราะอะไร มันกลายเป็นว่าสินค้าที่เราจะผลิตนั้นตลาดไม่ใช่ตลาดโลกกลายเป็นว่ารัฐบาลคือตลาดแล้วรัฐบาลก็รับข้าวจำนวนเป็นล้านตันเลยนะครับ แล้วก็เน่าเสียผุพังอยู่ในยุ้งฉาง อยู่ในคลัง ในระยะสั้นมันได้แต่ในระยะยาวยิ่งนานวันเกษตรกรก็ยิ่งลำบาก

ฉะนั้นตรงนั้นผมคิดว่าเราจะไม่พูดว่ามันถูกหรือผิด แต่มันเป็นเพียงระยะสั้นและมันผ่านไปแล้วในอดีต รัฐบาลชุดนี้ต้องการสร้างความเข้มแข็งขึ้นมาว่าถ้าคุณจะให้เกษตรกรแข็งแรงต้องไม่ใช่แบบนี้ ต้องเป็นเกษตรกรที่สามารถผลิตสินค้าซึ่งมีมูลค่าเพิ่มได้ แปรรูปได้ มีตลาดให้เขาสามารถเชื่อมโยงเกษตรกับท่องเที่ยวเข้ามา อันนี้คือนโยบายที่ให้กับธกส.และอีกหลาย ๆแห่ง ฉะนั้นถ้าท่านดูให้ดี ๆ สิ่งที่ปรากฏง่าย ๆเลยก็คือว่ามันจะเริ่มมีนโยบายออกมาว่า

1. ให้สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในชนบท อันนี้ไม่ได้หมายถึงถนนหนทาง อันนี้มันหมายถึงแหล่งน้ำ ยุ้งฉาง ลานตาก เครื่องแปรรูป

2. สร้างสินค้าชุมชนให้มันแข็งแรงขึ้น หมายความว่าผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่นในชุมชนนั้น ยกระดับเค้าขึ้นมา หาตลาดให้เขา และตลาดที่ดีที่สุดก็คือการดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาให้ได้

ฉะนั้นนโยบายของททท.ยุคนี้ก็คือว่าท่องเที่ยวภายในดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาสู่แหล่งท่องเที่ยว มาเที่ยวในสวน มาเที่ยวในชนบท เขาเข้ามาดูแล้วก็มาซื้อของไม่ใช่แค่เอาฝรั่งมานั่งอาบแดดอยู่พัทยา ภูเก็ต สมุย มีอยู่แค่นั้น มันจะได้กี่ตังค์ สินค้าชุมชน สร้างสถานที่ท่องเที่ยว ท่านเห็นปตท.ไหม เค้าขานรับนโยบายต่อจากนี้ไปปั๊มน้ำมันของปตท.ทุกที่จะมีร้านค้าที่จะรับสินค้าท้องถิ่นมาจำหน่าย และสิ่งที่ผมขอเขามากกว่านั้นเนี่ยไม่รู้เขาจะทำให้ผมหรือเปล่า ผมบอกว่าปั๊มน้ำมันในแหล่งท่องเที่ยวต่อไปข้างหน้าต้องไม่ใช่ปั๊มแบบนี้ ต้องเป็นปั๊มแบบญี่ปุ่นคือหน้าปั๊มเนี่ยก็คือสถานที่ขายสินค้าโดยเฉพาะของท้องถิ่น ที่เติมน้ำมันนี่อยู่ในมุมจุดนู้น ไม่ใช่มาเรียงหน้าเป็นตับ เติมน้ำมัน แล้วมีแค่ร้านอยู่ร้านสองร้านขายของ คอนเซ็ปต์ต้องเปลี่ยนถ้าไม่ทำอย่างนี้เดี๋ยวผมจะหาเรื่องลดเงินเดือน ฉะนั้นนโยบายมันเริ่มขึ้นมาทีละอัน ๆ ธกส.แต่เดิมเน้นสินเชื่อกับเกษตรกร โตขึ้นมาพร้อมกับเกษตรกรนี่แหละแต่ผมก็พูดกับพวกเขาบอกว่า ถ้าคุณต้องการให้เกษตรกรพลิกจากเกษตรกรธรรมดาเป็นเกษตรกรแห่งอนาคตข้างหน้า คุณต้องสร้างผู้นำเกษตรกรขึ้นมาที่มีความคิดทันสมัย

ข้างนอกเนี่ยท่านไปคุยดูคุณประเสริฐผมถามชื่อเขาแล้ว เด็กหนุ่มรุ่นใหม่รู้ว่าจะทำการเกษตรยังไง ขอสินเชื่อจากเกษตร จากธกส. 1 ตำบล 1 SME แปรรูปสินค้า สร้างตลาด อนาคตค้าขายด้วย E-commerce ไปโลกข้างนอกเลย และเขาเหล่านี้จะเป็นตัวเชื่อมระหว่างหมู่บ้านไปสู่ญาติพี่น้องของเขา เพื่อนฝูงของเขาในชนบท ต่อยอดกันเข้ามา โครงการนี้มีมูลค่าสินเชื่อประมาณ 7 หมื่นกว่าล้าน ธกส.ออกมาแล้วและขณะนี้เพียงแค่เวลาแค่เดือนเดียวปล่อยไปแล้วประมาณเกือบหมื่นล้านบาท โครงการอย่างนี้มันเป็นโครงการที่การตลาดเขาเรียกว่า Innovation Adoption แล้วก็ Diffusion การผลิตแบบใหม่ใช้นวัตกรรม ใช้เทคโนโลยี ใช้ความรู้ความสามารถ แปรรูปจำหน่ายสู่ต่างประเทศ ชาวนาเกษตรกรธรรมดาจะไม่กล้าทำเด็ดขาด เขารับความเสี่ยงไม่ไหว เพราะเขาจนจะต้องมีผู้กล้าที่ทำให้เขาดู นำโดยธกส.หาวีรชนต้นแบบทำออกมา คนไทยก๊อปปี้เก่งแป๊บเดียวถ้ารู้ว่ามันกำไรดีปีหน้าปีนู้นทำเอง ไม่ต้องมีใครมาสอน

โครงการนี้เป็นโครงการที่สำคัญมาก แล้วมันจะต้องเชื่อมโยงกับนโยบายอีกหลาย ๆนโยบาย ท่านเคยเห็นไหมว่า นโยบายบีโอไอตั้งแต่เปิดมาเคยมีเงินสินเชื่อการซัพพอร์ตทางภาษีให้กับคนที่ไปลงทุนในชนบทไหม ใครไปลงทุนในเรื่องเกษตร ลงทุนในเรื่องท่องเที่ยว ในชนบทท้องถิ่นได้รับการส่งเสริมเป็นพิเศษ ในอดีตมันกระจุกตัวอยู่นู่นรายใหญ่ทั้งนั้น นี่คือนวัตกรรมทางความคิดซึ่งผมถามว่ามีใครคิดบ้างไหมนอกจากรัฐบาลชุดนี้ แต่รัฐบาลชุดนี้ทำได้เพราะอะไรเพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ต้องมานั่งรอว่าทำแล้วได้คะแนนเสียงหรือเปล่า เพราะรู้ว่ามีเวลาอยู่แค่ปีครึ่งสองปีทำให้ดีที่สุด วางพื้นฐานให้แข็งแรงเพื่อว่าพรรคการเมืองต่อไปเมื่อมีการเลือกตั้งแล้วเขาจะได้มาสานต่อ ไม่ต้องมากังวลว่าถ้าไม่จำนำคนจะไม่มาโหวตให้ ผมไม่สนใจคุณจะจำนำไม่จำนำ คุณจะโหวตให้หรือไม่โหวตผมไม่สนใจ แต่ผมรู้ว่าวิธีนี้จะทำให้เกษตรกรในท้องถิ่นในไร่นาในชนบทขายสินค้า สินค้าก็แปรรูปมีมูลค่าสูงขึ้น นักท่องเที่ยวเข้ามาซื้อของ มี E-commerce อีกหน่อยถ้าคนในชุมชนสหกรณ์คุณสร้างเว็บไซต์ ปีนี้เขาจะลงทุนกันแล้วนะครับ Internet Broadband หมื่นกว่าล้านอีกหน่อยทุกท้องถิ่นสามารถค้า E-commerce ถึงโลกได้เลยนะ ท่านไม่ต้องผ่านตัวกลางเลยเขาจะมาตกเบ็ดจากที่นี่นี่แหละ จากทั่วโลกผมจะบอกให้ ขณะนี้ยี่ห้อ O-food ก็ดีหรืออื่น ๆในสหรัฐอเมริกาในยุโรปส่งคนมาซื้อของจากเราทั้งนั้น ไม่ต้องไปพูดถึงล้งของจีนละนะ ล้งจีนมันฉลาดอยู่แล้วไวอยู่แล้วแหละฉะนั้นสิ่งเหล่านี้นี่แหละคือความเปลี่ยนแปลงทางการเกษตร

ในการสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่รัฐบาลพยายามทำและเม็ดเงินจะมาตรงนี้อย่างต่อเนื่อง ผมจะบอกพวกท่านเลยใครจะมาบอกว่านี่คนเรียนสูงขึ้นมา ผมถามท่านเถอะถ้าเราเป็นเกษตรกรเงินก็ไม่มี ถ้าไม่มีสินเชื่อสร้างอนาคตนี่อนาคตลูกหลานเขาจะเอาอะไรกิน มันต้องแยกระหว่างว่าสินเชื่อแล้วหนี้ครัวเรือนของเราเนี่ยผมว่ามันยังไปได้อีกไกล มีคนบอกว่าเงินเหล่านี้ทำแล้วฟุ่มเฟือย ผมถามท่านมีประเทศไหนในโลกบ้างหนี้สาธารณะอยู่ที่ 45% ของจีดีพี มาตรฐานก็ 60 % สหรัฐอเมริกา 100 กว่าเปอร์เซ็นต์ ญี่ปุ่นนี่ 200กว่าเปอร์เซ็นต์ เมืองไทยเราเนี่ยเข้มงวดมากผมจะบอกให้ ฉะนั้นถ้าเราคิดว่าสิ่งนี้ถูกเราจะทำและสิ่งสำคัญคือพวกท่านต้องช่วยกระตุ้นให้คนตื่นตัวกับสิ่งเหล่านี้ เห็นในพัฒนาการใหม่ว่าอนาคตต้องเปลี่ยนแปลงยังไง แล้วมันไม่ใช่แค่นั้น

เมื่อกี้ผมบอกว่าอีสานจะเป็นศูนย์กลาง แต่มันจะเป็นศูนย์กลางได้ก็ต่อเมื่อมันต้องมี Connectivity มีการเชื่อมโยงระหว่างในอีสานเองกับสนามบินกับท่าเรือกับประเทศเพื่อนบ้าน เชื่อมโยงต่อไปถึงเพื่อนบ้านทั้งลาวเขมร เวียดนามถ้ามันเชื่อมโยงกันได้เมื่อไหร่ สำหรับการนึกถึงแผนที่ประเทศไทยนะ ไม่ต้องมองกรุงเทพฯนะเรามองแค่เสี้ยวของอีสานบวกตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด ท่านจะเห็นเลยว่าโครงการของกระทรวงคมนาคมนี่ที่มูลค่านับล้าน ๆบาทนี่เฉพาะถนน รถไฟรางคู่ที่จะพัฒนา รถไฟความเร็วสูงไม่ว่าจะของจีนของญี่ปุ่น ที่จะเริ่มตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ใน 5-6 ปีข้างหน้ามันจะทำให้ตรงนี้เป็นแอ่งที่แท้จริงที่จะรองรับการเติบโตของ ลาว เขมร และจีนตอนใต้ ของจีนมันเกิดแล้วท่านเห็นไหม แล้วก็ไม่ใช่แค่นั้นโอกาสจากนโยบายมันเกิดแล้วอยู่ที่ว่าท่านต้องคิดรองรับมัน

เราบอกว่าเราจะปฏิรูปเกษตรแต่ในขณะเดียวกันสินค้าอุตสาหกรรมของเรามันสู้เขาไม่ได้เลย สิ่งทอนี่มันกำลังจะเจ๊งเพราะอะไรเพราะถ้าคุณไม่ลงทุนในเรื่องของการดีไซน์ คุณภาพของวัตถุดิบ ราคาต้นทุนของมันนี่ท่านเห็นใช่ไหม ยูนิโคล่ชุดหนึ่งกี่ตังค์ ชุดนอนกี่ตังค์ เสื้อชั้นในของเขากี่ตังค์ หน้าหนาวเขามีฮีทเทคตัวหนึ่งกี่ตังค์ใส่แล้วอุ่นเลย เวลาหน้าร้อนเหงื่อออกเขามีแอร์ริซึ่มเทคโนโลยีเข้ามา แต่ของเราไม่เอาอะไรสักอย่างหนึ่งเลย บอกว่าขอเงินบาทถูกสู้ไม่ได้เขาหนีไปอยู่ Border Trade ไม่ยอมลงทุนในเทคโนโลยี ไม่ยอมลงทุนในนวัตกรรม แล้วถ้าไม่ลงทุนอย่างนี้คุณจะเอาสิ่งทอไปสู้อะไรเขาข้างหน้า คุณไม่ต้องไปดูดีไซน์สินค้า สูทที่ผมใส่นี้ยี่ห้อของใครรู้ไหม ผมนึกไม่ถึงเลยนะผมไปเกาหลีสูทเกาหลีนะครับหมื่นกว่าบาท ไม่บอกไม่รู้นะนึกว่าอิตาเลียนสไตล์ แพทเทิร์นดีไซน์มีพร้อม ของเรานี่ใส่มาปกก็ไม่เหมือนไซส์เดียวกัน สแตนดาร์ดยังไม่สแตนดาร์ดเลยแล้วจะไปแข่งอะไรเรื่องของแฟชั่นดีไซน์ ฉะนั้นการปฏิรูปอุตสาหกรรมของเราจึงเกิดขึ้น ณ รัฐบาลนี้นี่แหละ เราบอกว่าเรายังมีอุตสาหกรรมเก่าบวกอุตสาหกรรมใหม่ แต่อุตสาหกรรมเก่าต้องยกระดับ R&D ยกระดับนวัตกรรมขึ้นมาไม่อย่างนั้นผมให้ BOI น้อย อุตสาหกรรมใหม่ไฮเทคมีมากขึ้น ดิจิทัลต้องลง ผมจะไม่พูดถึงรายละเอียดนะครับ แต่วิธีการที่จะให้ได้ซึ่งความคิดใหม่ ๆเราเน้น 2 ด้าน ผมจะพูดช้า ๆผมเชื่อว่าพวกท่านเข้าใจอยู่แล้ว แต่ผมจะพูดช้า ๆเพื่อให้คนที่ไม่เข้าใจ ที่คอยกระแนะกระแหนเนี่ยฟังให้ละเอียด

1.กระบวนการผลิตอุตสาหกรรม เราจะใช้ระบบคลัสเตอร์ หมายความว่าไม่ใช่แค่ตั้งนิคมอุตสาหกรรม ดึงนักลงทุนเข้ามา ไม่ใช่แค่นั้น เราจะหาวิธีอะไร โรงงาน สนามวิจัย ซัพพลายเชนในบางอุตสาหกรรมถ้ามันต้องใช้นักวิจัยชั้นสูงเราจะเอาเข้ามา ทำเป็นแอ่งเป็นการผลิตเพื่อให้มันเกิดนวัตกรรมขึ้นมาถ้าคุณไม่มีมหาวิทยาลัยคุณจะไม่มีความคิดใหม่ ๆ คุณจะไม่มีผลผลิตใหม่ ๆ ที่ผ่านมาในอดีตนี่เอกชนอยู่ส่วนเอกชน มหาวิทยาลัยอยู่ส่วนมหาวิทยาลัย งานวิจัยก็ไม่ได้เกี่ยวกัน อาจารย์ก็ไม่มีจะกิน สอนจบจากมหาวิทยาลัยปริญญาเอกกลับมาล้าสมัยทันที ก้าวแรกที่เหยียบเมืองไทยล้าสมัยทันทีเลย ไม่มีเงินวิจัย เอกชนมีเงินแต่ไม่สนใจการวิจัย เอาง่าย ๆแค่รับจ้างทำของ ที่ทำดี ๆยาก ๆให้คนอื่นเขาไปทำ หารู้ไม่ว่าที่ยาก ๆขึ้นมานี้มันคือ Value Added  มูลค่าเพิ่มขนานใหญ่เลย สินค้าเกษตรเราตื้น ๆเนี่ยเขาไปแปรรูปไปใส่แบรนด์ไปใส่รสชาติ ทำแพคเกจจิ้งใหม่ ขายกันราคาแพง 3-4 เท่า ฉะนั้นความคิดอย่างนี้ต้องเกิดขึ้น

เราแยกเป็นกลุ่ม ๆออกมา ผมแยกเองก็ได้ โดยใช้สิ่งที่เรียกว่าประชารัฐ เราเซตออกมาแล้วประมาณ 10 อุตสาหกรรม แต่เราจับเป็นกลุ่มเพื่อว่าจะเอาพลังของเอกชนเนี่ยมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ผมได้ไอเดียนี้ตอนที่ไปเกาหลี มันคิดเร็วกว่าผมอีกและไปได้ไกลกว่าเราอีก ท่านเชื่อไหมว่ายักษ์ใหญ่อย่างเช่นซัมซุงที่เราเห็นเขาขายดีมาก ๆเนี่ย วันนี้ความคิดของเขาเริ่มตัน 10 กว่าปีที่แล้วตอนที่ผมเป็นรัฐมนตรีคลังผมไปเยี่ยมที่ซัมซุง เขามีตึกอยู่ตึกหนึ่งมีชั้นอยู่ชั้นหนึ่งเนี่ย มีนักวิจัยเต็มไปหมดเลย เป็นห้องลับของเขาไม่ให้ใครเข้าไป เขาบอกว่าเขากำลังทุ่มเทกับงานวิจัยในการสร้างนวัตกรรม ผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร จากงานนั้นผมไปเยี่ยมที่โซนี่ ไปเยี่ยมที่มัตสึชิตะผมเห็นความแตกต่าง นี่ 15 ปีที่แล้วนะโซนี่กับมัตซึชิตะไม่มีทิศทางที่ชัดเจนเลย ว่าเขาจะไปทางไหน ซัมซุงมันไปเทเลคอม มันไปโทรศัพท์มือถือ 10 ปีให้หลังซัมซุงที่แอนดรอยด์ที่ขายอยู่นี้มันตีตลาดโลก อิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่นไปอยู่ปลายห้องเลย เราจัดงานสตาร์ทอัพที่กรุงเทพฯ สินค้าญี่ปุ่นไม่ติดเลยไฮเทคมาจากเกาหลีใต้หมด แต่ ณ วันนี้เกาหลีใต้เจออะไร ซัมซุงเจออะไร ข้างล่างเจอหัวเว่ย เจอเสี่ยวมี่เข้ามาและเทคโนโลยีไม่ได้แพ้นะ อนาคตอาจจะล้ำหน้าเขาด้วย ข้างบนเจอไอโฟนผลประกอบการเริ่มมีปัญหาและ ฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลเกาหลีใต้พยายามเน้นก็คือว่าเอายักษ์ใหญ่เหล่านี้นี่แหละมาหนุน หนุนในสิ่งที่เขาเรียกว่า Innopolis  ถามว่า Innopolis คืออะไรพูดง่าย ๆคือเมือง เมืองแห่งอุตสาหกรรมทั้งหมดมีอยู่ 8 Innopolis กระจายตามอุตสาหกรรม แล้วแต่ละอุตสาหกรรมนั้น ก็จะมีทั้งรัฐ ทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่อยู่ข้างใน สร้างนวัตกรรมเป็นคลัสเตอร์ออกมา มีทั้งบริษัท ทั้งนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ รัฐที่เอาเงินเข้าไปช่วย จนสามารถผลิตนวัตกรรมที่ค้นออกมาได้ โดยมหาวิทยาลัยเป็นตัวหลักใหญ่

สินค้าที่เกิดนวัตกรรมเหล่านี้มันกลายเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่สร้างอนาคตให้กับเกาหลีใต้ทันที แล้วไม่ใช่แค่นั้นเขาจะไม่ใช้บริษัทอย่างซัมซุงอีกต่อไปว่า เจ้าเดียวสองเจ้าแล้วก็เป็นยักษ์ใหญ่ เขาใช้พลังจากทรัพยากรมนุษย์ที่มีโดยการสร้างสตาร์ทอัพ สตาร์ทอัพคืออะไร แปลเป็นไทยเขาเรียกว่า “วุ้น” พื้นบ้านนะเขาเรียกว่า “วุ้น”หมายความว่าแนวคิดใหม่ ๆที่คุณออกมาจากไอคลัสเตอร์เนี่ย เช่นจะทำสินค้าตัวนี้ ผลิตผลตัวนี้มันยังไม่ได้เป็นธุรกิจเลย มันเป็นแค่ความคิด ทันทีเลยเขาจะให้บริษัทยักษ์ใหญ่กับรัฐบาลให้เงินทุนสนับสนุน หาสถานที่ในการประคบประหงมเขา สร้างเขาขึ้นมา ให้สินเชื่อเข้ามา แล้วก็ทำให้เขาสามารถจากวุ้นกลายเป็นธุรกิจเล็ก ๆหรือ SMEs ขึ้นมาได้ แต่เป็น SMEs ซึ่ง ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Stand Alone คือไม่ใช่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของสายการผลิตแบบสมัยก่อนเช่น ซัพพลายของยานยนต์ ซัพพลายของเครื่องยนต์ ไม่ใช่อย่างนั้น เป็นธุรกิจที่มีความคิดของตัวเองขึ้นมาเลย

ผมเห็นหนึ่งคนเกาหลีสามารถผลิตเครื่องยนต์ชิ้นเท่านิ้วก้อยเจาะเข้าไปในผลไม้ จะรู้เลยว่าผลไม้นี้ หวานเท่าไหร่ กรอบไหม จากเด็กหนุ่มอายุประมาณ 30 เท่านั้นเองเป็นมหาเศรษฐีไปแล้ว ตรงนี้ก็คือว่าการสร้างนวัตกรรมนั้น 1.ใช้ระบบคลัสเตอร์ 2.เน้นการสร้างสตาร์ทอัพ คือเอาคนที่มีไอเดียมาแข่งกันแล้วเลือกไอเดียเหล่านั้นลงทุนร่วมกัน สร้างให้มันเกิดดอกออกผลขึ้นมา เราจะใช้วิธีการเหล่านี้เพิ่งจัดงานไปที่กรุงเทพฯ ผมคิดไม่ถึงว่าคนจะมาเยอะขนาดนั้น มาเป็นหมื่นคน ทีแรกเราก็รู้ว่าวุ้นในเมืองไทยนั้นก็คงมีวุ้นอยู่เยอะเหมือนกันนะ คงจะมีวุ้นอยู่แถวสยามสแควร์ วุ้นอยู่แถวเชียงใหม่ ภูเก็ต ที่ไหนได้ท่าน สตาร์ทอัพเมืองไทยนี่โดยหนุ่มสาวมีเยอะมาก เขามีไอเดียเยอะมาก ท่านเคยเห็นไหมว่าเวลาเขาทำธุรกิจสตาร์ทอัพของเขาเนี่ย มีอยู่เจ้าหนึ่งพรีเซนต์ให้นายกฯฟังบอกว่าคนเราทุกคนในกรุงเทพฯอยู่บนอพาร์ทเม้นท์ ต้องซักเสื้อผ้า ไม่มีเวลาซักเขาไปทำธุรกิจทำล็อกเกอร์ขนาดใหญ่เลยอยู่ใต้ถุน เวลาคุณอยู่ห้องนี้ถึงเวลาตอนเย็นคุณเอาเสื้อผ้าคุณใส่ไว้ในล็อกเกอร์พรุ่งนี้เขาซักให้เสร็จไว้ในล็อกเกอร์คืนให้ ธุรกิจแบบนี้คนอย่างเราคิดออกไหมแต่คนรุ่นใหม่คิดออกกลายเป็นธุรกิจซึ่งคนมาแย่งกันขอถือหุ้น คุณเคยเห็นธุรกิจอย่างเช่นเขาใช้ชื่อยี่ห้อว่า “จอดสบาย”เขารู้ว่าในกรุงเทพฯไม่มีที่จอดรถ หมอนี่ไปทำการสำรวจเลยว่ามีที่จอดรถว่างที่ตรงไหนบ้าง และมีบ้านไหนบ้างมีโรงรถที่ยินดีจะให้จอดทำเป็นธุรกิจขึ้นมาบอกว่า “จอดสบาย”คุณอยากจะมีที่จอดคุณติดต่อมาเขาจะบอกให้เสร็จว่าจอดที่ไหน ยังไง ติดต่อให้เสร็จ อันนี้ไม่มีเทคโนโลยีเลยนะแต่ถ้าเราสามารถลงทุนในเทคโนโลยี,ไอที

ซึ่งตัวนี้นี่แหละที่ทำให้สหรัฐอเมริกาเนี่ยมันเจริญได้ทุกวันนี้ เกาหลีเจริญได้ทุกวันนี้เพราะมันเป็นธุรกิจที่ตั้งอยู่บนเว็บไซต์ พวกนี้เนี่ยมูลค่าเพิ่มสูงมาก ไปดูบริษัทยักษ์ใหญ่ 10 อันดับนี่นะธุรกิจโบราณหมดไปแล้ว มันมีธุรกิจแบบใหม่ที่ตั้งอยู่บนเรื่องของเทคโนโลยีแต่ในเมืองไทยเราเป็นเกษตร เรามีภาคบริการ เรามีการท่องเที่ยว เรามีอุตสาหกรรม เรามีเทคโนโลยีซึ่งเราจะลงทุน ฉะนั้นสตาร์ทอัพของเมืองไทยนั้นจะต้องมีความหลากหลายเพื่อสร้างหนุ่มสาวหรือไม่เขาเรียกไม่หนุ่มไม่สาว อายุมากแล้วแต่มีความคิดอ่านที่ดี ตรงนี้มันจะมีการส่งเสริมมีสินเชื่อจากรัฐบาลส่งให้ วันนั้นวันเดียวท่านเชื่อไหมว่าคนจัดงานนี้ได้รับสปอนเซอร์จากแบงก์เนี่ยกี่แบงก์ เพราะแบงก์ขณะนี้กำลังวิ่งเข้าสู่ธุรกิจสตาร์ทอัพเหล่านี้หมด มันมีทั้งสตาร์ทอัพเกษตร ท่องเที่ยวเต็มไปหมดเลย

มีอยู่เจ้าหนึ่งขายน้ำมะนาวแปรรูป ชื่อเลมอนมีมีคือฉัน เลมอนคือมะนาว ลูก 2 คนจบอังกฤษทำงานอยู่ ลาออกมาทำโรงงานแปรรูปน้ำมะนาวขายผ่านอีคอมเมิร์ซทั่วโลก นี่คือเกษตรที่เราอยากจะให้พลิกประเทศของเราจากการที่ต้องก้มหน้าก้มตาขายข้าวเปลือก ถูกกดขี่ถูกพ่อค้าเบียดตรงกลางเวลาน้ำมันตกราคาต่ำก็ราคาก็ตก เราอยากให้สามารถยกระดับแปรรูปขึ้นมาได้ ธกส. เอสเอ็มอีแบงก์ ออมสินจะช่วยเขา อนาคตข้างหน้าธนาคารพาณิชย์ก็จะมาช่วยเขา ไม่กี่วันมานี้ผมได้ข่าวลอย ๆมาว่ามีคนมาคอมเมนท์จากพรรคการเมืองพรรคใดผมจำไม่ได้ บอกว่าเนี่ยสตาร์ทอัพมันอะไรอย่างนู้นอย่างนี้ ผมคิดว่าประเทศไทยจะเจริญได้ต้องทำใจให้กว้างต้องมองออกไปในอนาคตข้างหน้า การเมืองเอาไว้ก่อน สิ่งที่ดีเอาไปดูเอาไปเป็นตัวอย่างต่อยอดออกไปบ้านเมืองมันถึงจะเจริญ บางคนบอกว่าสตาร์ทอัพจะทำให้เกิดฟองสบู่ รู้หรือเปล่าว่าสตาร์ทอัพคืออะไรก่อนที่จะพูดฉะนั้นวันนี้ผมพูดช้า ๆ เพื่อให้คนที่อยู่นอกห้องประชุมนี้ได้ยิน นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทั้งโครงการคมนาคม พัฒนาเกษตร พัฒนาอุตสาหกรรมและอีกหลาย ๆสิ่งที่ตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวเพราะผมมองว่าท่องเที่ยวถ้าเกิด มันจะทำให้สินค้าขายได้ เกษตรจะขายได้ดีและถ้าคนสามารถเข้าไปท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ได้ เขาจะเริ่มเอ็นจอยกับสิ่งที่สวย ๆงาม ๆ ไม่มีใครหรอกจะบ้าช้อปปิ้งไปได้ทั้งวันทั้งคืน คนเราก็อยากจะไปดูว่าสวนผลไม้เป็นยังไง ฟาร์มโคนี่มันเป็นยังไง นี่แหละคือสิ่งที่มันกำลังจะเกิดขึ้นและรัฐบาลพร้อมที่จะช่วยเหลือ ถ้าท่านคิดเรื่องนี้ก่อนหน้านี้แป๊กแน่นอนเพราะรัฐบาลไม่มีนโยบายสิ่งเหล่านี้ ตอนนี้รัฐบาลมีนโยบายเหล่านี้แล้วกำลังจะผลักดันให้ท่านแล้ว

ฉะนั้นประโยคที่สองที่ผมจะมาพูดก็คือว่าโอกาสมันมาละนะ แต่โอกาสเนี่ยท่านต้องสามารถหยิบฉวย แล้วเปลี่ยนมันให้เป็นความเป็นจริง เป็นรูปธรรมและไม่มีใครช่วยท่านได้นอกจากตัวท่านเอง ฉะนั้นก่อนอื่นเลยถ้าท่านรู้ว่าโครงการทั้งหลายมันจะเกิดขึ้นมาอย่างนี้ การวางแผนของท่านมีหรือยัง แล้วแผนของท่านมันจะต้อง absorb แผนพัฒนาประเทศไทยและแผนพัฒนาของ TMS ร่วมกันมาดูว่า ทางนู้นจะทำอะไรทางนี้จะทำอะไร แล้วเราควรจะทำอะไรเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ยกตัวอย่างง่าย ๆถ้าลาวโตด้วย 7 % ต่อปีจีดีพี เขมร 6-7% ต่อปี เวียดนามก็เจริญอย่างนี้ แล้วเขาต้องการสินค้าจากเรา อุตสาหกรรมอะไรที่น่าจะตั้งอยู่ในแถบของอีสาน อาหารแปรรูปหรือเปล่า เอทานอลหรือเปล่า โคหรือเปล่า ฟาร์มเลี้ยงสัตว์แปรรูปเนื้อสัตว์หรือเปล่า สิ่งเหล่านี้มันก็จะค่อย ๆคิดขึ้นมาละ เมื่อมีรถไฟมีการเชื่อมโยงต่อมันเกิดการขนส่งสินค้ากันหมดใช่ไหม โลจิสติกส์มันตามมาแน่นอน อุตสาหกรรมโลจิสติกส์มาแล้ว การพัฒนาเมืองมันเกิดขึ้นมาแล้ว ผมมองอุบลราชธานี อุดรธานี

ผมชื่นใจมาก ผมเห็นบริษัทท้องถิ่นนี่สามารถผลิตสินค้าขายอุปกรณ์ก่อสร้างแข่งกับสยามซีเมนต์ได้ ธุรกิจเหล่านี้มันจะเริ่มเกิดขึ้นมา และถ้าท่านสามารถลงทุนในเรื่องของดิจิทัล มีสตาร์ทอัพ มหาวิทยาลัยนี่แหละคือสถานที่บ่มเพาะสตาร์ทอัพที่จะเกิดขึ้น เอกชนต้องเข้ามาร่วมจะทำคลัสเตอร์อะไร เกษตร ท่านมีเกษตรอินทรีย์ที่ขึ้นชื่อลือชา ท่านมีข้าวหอมมะลิที่อื่นไม่มีนะ ฉะนั้นถ้าท่านบอกว่าท่านต้องการสร้างสินค้าเกษตรซึ่งมีมูลค่าเพิ่มสูงสามารถขายตลาดโลกได้ ท่านมีอยู่แล้วเพียงแต่ว่าจะทำยังไงจะยกระดับมันขึ้นมาให้สูง แล้วก็ผลักดันมันออกไปต่างประเทศไปทั้งโลกเลยผ่านอีคอมเมิร์ซ สิ่งเหล่านี้ที่ผมพยายามจะบอกว่านี่แหละคือสิ่งที่จะต้องคิด ต้องมียุทธศาสตร์และการทำสิ่งเหล่านี้ได้ท่านทำคนเดียวไม่ได้ผมเองยังต้องใช้ประชารัฐ ประชารัฐเกิดจากอะไรท่านทราบไหม ผมดูแล้วนโยบายที่ออกมาทั้งหมดคุณจะหวังพึ่งรัฐบาลอย่างเดียวเป็นไปไม่ได้เลย ตลาดที่จะมารับสินค้าเกษตรแปรรูปนี่จะเอาใครมารับซื้อ เอาคลังสินค้ากระทรวงพาณิชย์หรอ

ฉะนั้นทางเดียวก็คือว่าเอาบริษัทรีเทลมารับซื้อ คุณขายกล้วยหอมลูกหนึ่ง 8 บาท แพ็คขายใน 7-11 ได้ ต่อไปสินค้าคุณนี่ขายไปถึงเวียดนามได้ คุณไม่ต้องเอาเอกชนเข้ามา คุณจะสร้างนวัตกรรมทางความคิดเรื่องการศึกษา จะพึ่งกระทรวงศึกษาอย่างเดียวหรือเอาแค่ 5 แท่งแก้ไขปัญหาใน 5 แท่งให้ได้ก่อนเถอะ แล้วก็เอาเอกชนเข้ามาดูแลเรื่องอาชีวะ เรื่องการศึกษา มันเป็นจุดเริ่มต้นมันไม่ได้สมบูรณ์แบบหรอก มันไม่ใช่เป็นการเอาคนรวยมากินคนจน แต่เอาคนรวยที่เขามีความสามารถแล้วเอามาช่วยคนจน หัดมองโลกในแง่บวกมองในด้านของความตั้งใจดีของรัฐบาลบ้าง ว่าถ้าคนมีอันจะกินแล้วไม่มาช่วยคนจนเขาก็อยู่ไม่ได้ ภาคเกษตร เกษตรกร รายได้จากแค่สินค้าที่ผลิตได้แค่ไม่กี่ตังค์เนี่ย วันหนึ่งบ้านเมืองมันจะลุกเป็นไฟ ครอบครัวเขามีลูกเต้าต้องเรียนหนังสือราคาสินค้าเหลือแค่ครึ่งเดียว ถ้าคุณไม่มีรายได้อย่างอื่นให้เขารายได้จากผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชม ไม่มีรายได้จากการท่องเที่ยว ไม่มีรายได้จากภาคบริการ เขาจะเอาที่ไหนมาส่งเสียลูกเขาเรียนหนังสือ

นี่คือความพยายามของรัฐบาล ฉะนั้นผมไม่ได้บอกว่ารัฐบาลดีหรือไม่ดีนะ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดวิพากษ์วิจารณ์ แต่เราจะบอกว่าความตั้งใจที่เราพยายามคิดในสิ่งเหล่านี้เพื่อให้มันมีการปรับเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่มันมีมูลค่ามากขึ้น ให้คนไทยช่วยกันมากขึ้น ท่านนายกฯตั้งมา 12 อนุกรรมการแล้วสิ่งที่มันเกิดขึ้นก็คืออะไร มันเริ่มมีคนมาเกาะเกี่ยว ขยายวงไปเรื่อย ๆ คนอย่างอดีตกรรมการผู้จัดการสยามซีเมนต์ คุณกานต์ ตระกูลฮุน เนี่ยผมต้องขอเอ่ยชื่อไว้เลยขนาดไม่สบายคอต้องผ่าตัดมาตั้งหลายเดือน เขาอุตส่าห์มาช่วยผมที่กระทรวงอุตสาหกรรม ไปช่วยใน 1 ใน 12 คณะเพื่อต้องการเปลี่ยนวิธีคิดเปลี่ยนการทำงานให้สามารถเกิดในสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ นี่แหละคือสิ่งที่ผมเรียกประชารัฐ ผู้ว่าฯมา 2 ปีเปลี่ยนผมถามว่าทำอะไรได้มากไหม ไม่ได้ เอกชนเนี่ยสำคัญ ต้องรวมพลังภาคประชาชนเนี่ยสำคัญ มหาวิทยาลัยนี่สำคัญ อีสานมีมหาวิทยาลัยกี่แห่งผมว่ามากที่สุดในประเทศไทยด้วยซ้ำไป ท่านมีทั้งขอนแก่น โคราชกี่แห่ง มหาสารคามอีกเต็มไปหมดเลย

แต่มันเหมือนกับกรรมที่มันซ่อนไว้ มันมีทุกอย่างครบนะ แต่มันไม่ถึงสักที พลังรวมไม่ได้สักทีหนึ่ง เลือกตั้งทีไร ส.ส.เป็นร้อยเลยชี้ไปทางไหนพรรคนั้นได้เป็นรัฐบาล แต่คนอีสานเขาว่าไงปั้นอีสานเนี่ยปั้นไม่ติดข้าวเหนียวอะ ปั้นทีไรก็หลุดมันต้องมีน้ำพอสมควร บีบแล้วมันเป็นก้อนใหญ่ ๆขึ้นมาได้ พลังอีสานมันถึงจะเกิด อะไรกัน ส.ส.เป็นร้อยคนพลิกฟื้นอีสานไม่ได้ นโยบายหลัก ๆเปลี่ยนประเทศไม่ได้ต้องรอให้รัฐบาลนี้มาคิดมาผลักดันให้ท่านแล้วถ้ารัฐบาลนี้ไปล่ะ ฉะนั้นผมมาเพื่อจะบอกประโยคสุดท้ายกับท่านว่าพลังอีสานนี่สำคัญมาก ๆเลย แล้วต้องไม่ใช่แค่พลังจังหวัดนะการดีไซน์ยุทธศาสตร์ถ้าเรานึกดูมีลาว เขมร เวียดนามนะการสร้างยุทธศาสตร์นี่มันต้องทั้งอีสาน ไอ้นู่นอยู่นี้ไอ้นี่อยู่ตรงนี้ ตรงนี้มีเรื่องของเกษตร ตรงนี้มีเรื่องของข้าว ตรงนี้มีเรื่องของการค้าชายแดน ตรงนี้มีการตั้งนิคมอุตสาหกรรมแล้วก็รวมพลังกันอีกหน่อยงบประมาณที่มานี่ ทุกจังหวัด ถึงแม้งบประมาณมันจะกระจาย แต่ดีไซน์ออกมาแล้วรวมศูนย์ออกมาเป็นภาพภาพใหญ่เลยว่าคุณจะรับผลสนองตอบกลับนโยบายของรัฐ และนโยบายที่จะต้องรองรับความเจริญในภูมิภาคยังไง ฉะนั้นการเมืองเป็นเรื่องใหญ่ การเมืองเป็นเรื่องสำคัญ อีกสักปีครึ่งท่านก็จะมีการเลือกตั้งท่านต้องสร้างความตื่นตัวให้คนอีสาน สร้างความหวังให้กับคนรุ่นใหม่ของอีสาน อายุ 20-30ให้เขารู้ว่าการเมืองเป็นสิ่งที่ดี ทำการเมืองสร้างสรรค์แล้วอีกหน่อยอีสานจะพัฒนา พรรคไหนไม่ดีไม่ต้องไปเข้าอยู่เป็นอิสระยังดีกว่า ทำไมจะรวมกลุ่มกันไม่ได้อีกไม่นานท่านก็จะได้เลือกตั้ง ฉะนั้นที่ผมว่าเนี่ยไม่ใช่เฉพาะที่ขอนแก่น ทุกจังหวัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งหอการค้าต้องเป็นตัวนำของภาคไม่ใช่ของจังหวัด แล้วถ้าท่านรวมพลังกันได้พลังสร้างสรรค์นี้เนี่ยจะเป็นตัวทำให้ไม่ว่ารัฐบาลไหนขึ้นมาก็จะมีนโยบายเพื่อคนอีสาน ไม่ใช่ในช่วงสั้น ๆ หาเสียงไปวัน ๆแต่เพื่อว่าในระยะยาว 10 ปี 20 ปีข้างหน้าอีสานมันจะกลายเป็นอะไร กลายเป็นแอ่งสำคัญที่จะชงสินค้าผลิตสินค้าขายให้กลุ่มประเทศเหล่านี้ กลายเป็นที่ที่ทางผ่านของสินค้าต้องมาพัก เพื่อมาสู่พม่าขึ้นไปจีนลงไปใต้

ฉะนั้นยุทธศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญมากๆที่ท่านต้องร่วมกันคิดขึ้นมา เงินทุนของเอกชนมีแน่นอน แต่ต้องรวมพลังกันได้นี่แหละประชารัฐ ประชารัฐที่แท้จริงว่าทำไปแล้วทั้งประเทศได้ประโยชน์ ไม่ใช่ว่าเพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง พรรคใดพรรคหนึ่ง การเมืองเมืองไทยขณะนี้บางคนก็บอกว่าเป็นวิกฤตแต่วิกฤตอันนี้นี่เป็นโอกาสที่เราได้มีโอกาสมาสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา จะได้ผลไม่ได้ผลไม่ต้องมาพูดกันวันนี้ อนาคตจะรู้เองแต่อย่างน้อยที่สุดเชื่อว่าการรวมตัวของขอนแก่นนี้จะเป็นตัวอย่างให้เห็น ท่านประธานมูลนิธิท่านอุตส่าห์เสียสละ ขอนแก่นเนี่ยเป็นมหาวิทยาลัยขนาดยักษ์นะ ท่านไปบอกมหาวิทยาลัยขอนแก่นเลยว่าไม่ต้องสนใจในเรื่องของว่าจะต้องเป็นมหาวิทยาลัยทั่วไป เราต้องรู้ว่าอีสานจะพัฒนาไปทางไหน ขอนแก่นต้องเป็นหลักของการพัฒนาอีสาน ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ร่วมกับโคราช วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นละผมมีหน้าที่มาสื่อความ ตอนมาก็ไม่ค่อยมีอะไร นะครับ ไม่มีอะไรมาก ผมอายุ 63 แล้ว ผมมาพูดที่อีสานมา 2-3 ครั้ง ผมอยากเห็นภาคนี้เจริญ ผมอยากเห็นคนจนลืมตาอ้าปาก ไม่อยากเห็นเขาจนลง ๆแล้วชีวิตอยู่ได้เพียงแค่ว่าข้าวต้องราคาดี มันไม่ใช่มันมีอีกหลายอย่างทีเดียว ข้าวต้องยกระดับ ข้าวที่สามารถขายสู่โลก สินค้าแปรรูปที่เกี่ยวกับข้าว ขนมขบเคี้ยวเกี่ยวกับข้าว สหกรณ์เกษตร สภาเกษตรกร หอการค้า มหาวิทยาลัย ต้องช่วยเขา เพราะคนจนนี่เขาลำบาก สสส.เข้ามาถูกทางแล้ว นะครับวันนี้มาให้กำลังใจแล้วก็มาบอก 2-3 ประโยคให้กับพวกท่านนั่นแหละครับ ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์ฟัง