ขันน็อต “พาณิชย์”ดันไทยผงาดเวทีโลก

โดยเฉพาะเมื่อได้ฟังถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งจากปากของ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเจ้าภาพที่กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า เพื่อตระหนักรู้ถึงความสำคัญในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งในการประเมินจากสถาบัน IMD ถือเป็นสถาบันซึ่งเป็นที่ยอมรับย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศและมีผลต่อการตัดสินใจต่อการลงทุน ที่ผ่านมาสถานการณ์ความสามารถในการแข่งขันของไทยถือว่าลดลงเป็นอย่างมาก จากเดิมที่เคยรั้งอยู่ในอันดับที่ 27 หล่นมาเป็นอันดับที่ 56 ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศมาเลเซียหรือประเทศสิงคโปร์ ได้รับการจัดอันดับอยู่ในลำดับที่ดีขึ้น ดังนั้นการทำให้ไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีจึงสำคัญและจำเป็นต่อการขับเคลื่อนประเทศ ขณะเดียวกันยังต้องการรับฟังข้อเสนอแนะในการแข่งขันเพื่อให้แนวคิดในการพัฒนาเสนอต่อรัฐบาล เพื่อกำหนดนโยบายเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป

             ขณะที่ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ว่าประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมาการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้หยุดนิ่งมานาน ทั้งที่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยมีการพูดกันมามานานตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว กระทั่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาหลังจากที่ตนเข้ามาเล่นการเมืองได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขึ้น แต่ปรากฏว่าไม่มีความคืบหน้าแต่ประการใด ทั้งนี้ยอมรับว่าจากปัญหาการเมืองที่ผ่านมาทำให้ขีดความสามารถของไทยต้องหยุดนิ่ง กระทั่งเมื่อรัฐบาลนี้เข้ามาจึงได้จัดตั้งคณะกรรมการดังกล่าวและออกมาตรการเพิ่มขีดความสามารถของไทยในเวทีต่าง ๆ

          ตอนหนึ่งของการกล่าวสุนทรพจน์ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงแนวทางในการส่งเสริมพัฒนาการแข่งขันของประเทศว่า รัฐบาลได้ขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ ๆมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้มีการผลักดันผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการจัดทำโครงการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาระบบไอทีของประเทศ มูลค่า 15,000 ล้านบาท และพัฒนาเกตเวย์อีก มูลค่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตชุมชนได้ทั่วประเทศ อันจะเป็นประกอบทั้งในเรื่องของการค้า การศึกษาของประเทศได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังจะเสนอให้มีการปรับปรุงกระทรวงวิทยาศาสตร์ ด้วยการยกระดับให้เป็นกระทรวงเกรดเอ ที่จะเดินหน้าพัฒนานักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากอย่างจริงจัง ที่ผ่านมาพบว่าคนเหล่านี้ไม่เคยได้รับการเหลียวแลทั้งที่งานวิจัยต่าง ๆมีการศึกษาค้นคว้าไว้มากมาย ตนอยากสร้างความมั่นใจให้เอกชนว่าปี 2559 จะมีโครงการขนาดใหญ่เกิดขึ้นโดยผ่านกระทรวงคมนาคมไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของรถไฟฟ้า การสร้างถนน การพัฒนาสนามบินทั้งที่สุวรรณภูมิและอู่ตะเภารวมถึงท่าเรือ ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ มองว่าระยะเวลาปีครึ่งของรัฐบาลที่กำหนดจะเห็นเป็นรูปธรรม

             ดร.สมคิด กล่าวอีกว่ารัฐบาลมีนโยบายในการปรับระบบการศึกษา โดยจะไม่เน้นการใช้ดัชนีชี้วัดด้วยการใช้งบประมาณต่อหัวแต่จะทำอย่างไรให้เกิดการพัฒนามากที่สุด ตั้งแต่ในระดับประถม อาชีวะและระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งยอมรับว่าหากจะเปลี่ยนสถานศึกษาที่เป็นของราชการคงจะทำได้ยาก ดังนั้นรัฐบาลจะต้องขอความร่วมมือกับเอกชนในการนำร่องเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน

             รองนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่พบว่ายังมีความล่าช้าว่า ยอมรับว่าการเข้ามาตรวจสอบโครงการคอร์รัปชันต่าง ๆ เช่นกรณีของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)บางครั้งพบว่ามีการเข้มงวดการตรวจสอบมาก มีขั้นตอนยุ่งยากจนทำให้ข้าราชการโดยเฉพาะในท้องถิ่นไม่กล้าดำเนินการใด ๆอย่างโครงการตำบลละ 5 ล้านบาทไม่มีใครกล้าทำโครงการเพราะเกรงว่าจะถูกตรวจสอบย้อนหลังทำให้กระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณในท้องถิ่น หรือแม้แต่การช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่กล้าใช้งบประมาณในการช่วยเหลือเพราะกังวลเรื่องเอกสารสิทธิ์ และลูกจ้างสวนยางจำนวนมากยังเป็นแรงงานต่างด้าวทำให้โครงการเป็นไปอย่างค่อนข้างล่าช้ามาก

          นอกจากนี้ที่ผ่านมาเอกชนยังได้ร้องเรียนว่า ระเบียบของราชการในการทำธุรกิจมีขั้นตอนที่ยุ่งยากมาก โดยเฉพาะในส่วนของคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และการศึกษาผลกระทบในเรื่องของสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ยังมีความล่าช้ามาก อนาคตขั้นตอนต่าง ๆเหล่านี้จะต้องลดขั้นตอนลง “ตอนนี้เราได้ลงลึกแก้ไขขีดความสามารถการแข่งขันแล้ว เชื่อว่าปีหน้าประเทศไทยน่าจะมีอันดับที่ดีขึ้น ลำพังรัฐบาลอย่างเดียวคงไม่ได้ในส่วนของเอกชนก็จะต้องเข้ามาช่วยในเรื่องการกรอกข้อมูลโดยทำอย่างระมัดระวังไม่ใช้ให้เลขาทำ”

                อย่างไรก็ตาม ดร.สมคิดยังได้กล่าวยืนยันถึงเป้าการส่งออกของไทยปีนี้ว่ายังคงไว้ที่ 5% ถึงแม้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปีนี้อาจจะยังเติบโตได้ไม่ดีนัก ส่งผลทำให้ประเทศคู่ค้ามีกำลังซื้อที่อ่อนลง ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ได้มีการปรับลดประมาณการของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลงเหลือ 3.4%

          อยากจะขอให้ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ใช้วิกฤติที่เกิดขึ้นพลิกให้เป็นโอกาสในการพัฒนาสินค้า เจาะลึกรายตลาดสินค้า ให้ความสำคัญกับการค้าชายแดน และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้ามาอยู่ในระบบการค้าแบบ E-commerce มากขึ้นทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างนักรบใหม่ หรือ new exporter ให้เข้ามามีส่วนช่วยในการผลักดันการส่งออกของไทยในปีนี้ได้มากขึ้น

"ปีนี้เราจะวิ่งเต็มที่ไม่มีการลดเป้า ผมไม่คอนเฟิร์มว่าจะทำได้กี่เปอร์เซ็นต์แต่ขอให้วิ่งให้เต็มที่”