รองนายกฯ กล่าวยุทธศาสตร์สานพลังประ­ชารัฐ เพื่อเศรษฐกิจฐานราก

 

                สวัสดีทุกท่านนะครับ เมื่อเช้านี้ถ้าท่านสังเกตุให้ดี ๆ ท่านจะเห็นใบหน้าของท่านนายกรัฐมนตรีที่มีรอยยิ้ม อารมณ์ที่ผ่อนคลาย เพราะว่าวันนี้ เมื่อท่านได้เห็นการแสดงบนเวทีที่พูดถึงความพร้อมและความต้องการของภาคประชาชนที่จะร่วมมือกับภาคประชาชนและภาคประชาสังคม ผมคิดว่าท่านสบายใจเพราะสิ่งนี้คือสิ่งที่ท่านมีอยู่ในใจและต้องการให้มันเกิดขึ้นในประเทศไทย ผมเองนั่งชมอยู่ข้างล่าง ผมยังคิดในใจเลยว่าทำไมประเทศไทยของเราเนี่ยถึงไม่สามารถเป็นเหมือนกับบนเวที ทำไมจะต้องทะเลาะเบาะแว้ง ทำไมต้องเอาสีเสื้อมาแบ่งแยก ทำไมต้องจ้องจับผิดกัน ทำไมไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส ช่วยเหลือกันและกัน เหมือนที่ชาวบ้านวันนี้จัดแสดงบนเวที  แล้วถ้าท่านสงสัยว่าทำไมท่านนายกในบางเวลาในบางวัน อารมณ์ถึงไม่ค่อยผ่องใส บางครั้งหงุดหงิดกับผู้สื่อข่าว ผมคิดว่าถ้าเราคิดให้ดี ๆ พวกเราจะเข้าใจ ท่านนายกนั้นมีความต้องการ มีความมุ่งมั่น ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาของประเทศ ท่านต้องการให้คนเข้าใจว่าทำไมถึงต้องเข้ามา ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อยากจะมา ทุกคนรู้อยู่เต็มอกว่าวันนั้นถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง ผมคิดว่าบ้านเมืองไมได้สงบแบบนี้ มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการแต่ว่าอย่างน้อยที่สุด ให้บ้านเมืองสงบสุข สักช่วงเวลาหนึ่ง ให้คนไทยเรามีโอกาสมีเวลาที่จะคิด ตั้งสติกันใหม่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย ประเทศที่คนยิ้มแย้มแจ่มใส มาวันนี้มีแต่ขุ่นมัว ไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน ผมว่านั่นไม่ใช่ประเทศไทยที่ผมเติบโตขึ้นมา ท่านต้องการให้คนรู้ว่าท่านพยายามที่จะขับเคลื่อนประเทศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แม้บางครั้งมันอาจจะช้าเกินไป แต่ท่านก็พยายามของท่านเต็มที่แล้ว ท่านต้องการบอกสังคมโลกว่าประเทศไทยนั้นเป็นประชาธิปไตย และต้องการเป็นประชาธิปไตยจริง ๆ ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่เอาแต่ท่องจำและบอกว่านี่แหละคือประชาธิปไตย ใคร ๆ ก็ต้องการให้มีการเลือกตั้งทั้งสิ้น แต่ว่าท่านอาจจะมองว่าไม่อยากให้มันกลับไปสู่วงจรเดิม ๆ ขอเวลาสักช่วงนึงจะได้ไหม ท่านเป็นห่วงว่าท่านไปประชุมที่ UN คนไทยจะไปทะเลาะเบาะแว้งที่นั่นให้มันขายหน้าชาวโลกเขา  สิ่งเหล่านี้เป็นหลายสิ่งที่อยุ่ในใจ แต่ท่านสังเกตุสิว่าทำไมวันนี้ถึงมีรอยยิ้ม ทำไมถึงเดินชมบูธทีละบูธ ๆ เกือบชั่วโมงนึง ทำไมเมื่อ 2-3 วันก่อน ไปที่งาน เอสเอ็มอี ถึงมีแต่ความสุขสดใส ผมว่าพวกเราต้องช่วยกัน เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่นายกรัฐมนตรีซึ่งเปรียบเสมือนผู้นำประเทศ มีรอยยิ้ม ประชาชนก็จะมีความหวัง สบายใจ อยากจะให้ท่านยิ้มนั้นไม่ใช่ว่าให้ท่านแบกอยู่คนเดียว จริง ๆ แล้วคนไทยทั้งประเทศนั้นต้องร่วมกันแบก เพราะท่านนายกแค่เข้ามาเพื่อให้ทุกอย่างนั้นเดินต่อไปข้างหน้าได้ ฉะนั้นผมคิดว่าวันนี้นี่แหละเป็นโอกาสที่ดีมากเสมือนหนึ่งได้เห็น ยิ่งจากการแสดงบนเวทีเราจะเห็นได้ชัดเลยว่าถ้าประเทศไทยเป็ยอย่างที่แสดงบนเวทีนั้น ประเทศนั้นจะมีแต่ความสุข ผมมาที่นี่เพื่อจะขอบคุณท่านอาจารย์ประเวศน์ คนโบราณเขาบอกว่ามากคนมากวาสนา แต่บางคนนั้นต้องมาเจอกันในชาตินี้เพราะว่ามันมีภาระกิจผู้พันธ์มาแต่ชาติปางก่อน ผมพบท่านอาจารย์ประเวศน์ครั้งแรกตั้งแต่ผมเป็นรัฐมนตรีคลัง ท่านก็บอกว่าท่านอยากจะให้รากหญ้านั้นแข็งแรง คนไทยนั้นยังจนอยู่ ผมก็เรียนท่านว่าถ้ามีอะไรให้กระทรวงการคลังช่วย ผมยินดี และผมก็พยายามออกมาในลักษณะที่ว่าเป็นการคลังเพื่อสังคม ท่านก็บอกว่าจริง ๆ แล้วคนจน ในชนบาทนั้น ไม่ได้ต้องการแค่เงินเพียงอย่างเดียว แต่เขาต้องการสร้างความพร้อมและร่วมขับเคลื่อนไปข้างหน้า ผมเจอคุณอิสระครั้งแรกท่านก็มาช่วยงานผมในขณะที่ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็เห็นแล้วว่าท่านเป็นคนที่มีจิตสังคมสูงมาก ผมพบคุณดุสิต อดีตประธานหอการค้า ท่านช่วยผม ผมเรียนท่านว่าให้ช่วย 2 เรื่อง เรื่องที่ 1. ก็คือการสร้างภาคเอกชนให้มีความสามารถต่อต้านคอรัปชั่น และก็ 2. ให้เอาพลังที่แข็งแกร่งของภาคเอกชนลงไปช่วยภาคประชาชนให้เข้มแข็ง เพราะเขายังมีความอ่อนแออยู่ คุณดุสิตนั้นทำทันที แต่โลกมนุษญ์มันก็อย่างนี้คนดีมักจะไปก่อน แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะอย่างน้อยท่านก็แสดงให้เห็นแล้ว คุณอิสระก็มาสานต่อ ผมเชื่อว่าภาคเอกชนก็จะสานต่อไปเรื่อย ๆ

วันนี้รัฐบาลประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่ารัฐบาลไม่เพียงจะพยายามสร้างความสามารถเชิงแข่งขันของประเทศ แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ฐานรากประเทศ ให้สังคม ให้ประเทศ สามารถยืนอยู่บนขาที่แข็งแกร่ง ข้างหนึ่งคือประชาชน 70 ล้านคน อีกข้างหนึ่งคือความสามารถของประเทศในการแข่งขันกับชาวโลกเขา ผมอยู่ในภาครัฐบาล เราสามารถออกนโยบายได้ เราสามารถออกงบประมาณได้ แต่ผมรู้ว่ามันมีข้อจำกัดอยู่ ข้อจำกัดก็คือว่า ถ้าภาครัฐไม่เข้าใจภาคประชาชน ถ้าภาครัฐไปคิดแทนเขา ครอบงำจากบนมาล่างมันไม่มีทางเจอกัน ผมประสบมาแล้ว ในขณะเดียวกันในช่วงที่ว่างเว้นการเมือง ผมเกี่ยวข้องกับภาคเอกชนสูงมาก ผมรู้ว่าเขามีความแข็งแกร่ง มีความเชี่ยวชาญ มีทรัพยากรสูง และต้องการช่วยภาคประชาชน แต่เขาไม่รู้ว่าจะไปช่วยด้วยช่องทางไหนวิธีการใด เขาเห็นสินค้าที่ชาวบ้านผลิตขึ้นมา คุณภาพดีไม่พอ ลักษณะการสร้างไม่ทันสมัย หาตลาดไม่ด้ เขาก็อยากจะช่วย ฉะนั้นภาคเอกชนแล้วมีความแข็งแกร่งก็จริงแต่ตัวมันเองนั้นมีข้อจำกัดในการที่จะไปช่วยภาคประชาชน หลังจากที่ผมพ้นการเมืองมาคุณหมอประเวศน์ท่านบอกว่า อาจารย์ไปช่วยสร้างสถาบันอนาคตทางการศึกษาชี้ช่องทางแห่งอนาคตให้ประเทศ ผมศรัทธาท่านผมไปเดินเรี่ยรายเงินจากภาคเอกชน เกิดมาไม่เคยขอตังค์ใคร ผมยอมขอตังเพื่ออาจารย์ประเวศน์ได้สำนึกความมุ่งหมายของท่าน ท่านบอกว่าอยากให้ทำสัมมาชีพ เพื่อว่าสัมมาชีพจะได้เป็นพื้นที่ประเทศไทย ด้วยความช่วยเหลือของลูกศิษย์  ของน้อง ๆ  มูลนิธิสัมมาชีพก็เกิด แต่คนไทยเรานั้นบ้างครั้งมีจิตระแวง ว่าที่ทำกันนั้นเนี่ยเพื่อการเมืองในอนาคตหรือเปล่า จะสร้างพรรคหรือเปล่า ผมนั่งฟัง นั่งอ่านไม่เคยคิดที่จะตอบโต้ เพราะอันนั้นคือสิ่งปกติของคนเรา แต่สิ่งนั้นทำก็เพื่อให้ท่านอาจารย์หมอประเวศน์สามารถสืบสานเจตนารมณ์ได้ ท่านจะเห็นว่าถึงแม้ว่า ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน มีความแข็งแกร่งในตัวมันเอง แต่ในตัวมันเองนั้นก็มีข้อจำกัด ความสำคัญอยู่ที่ว่าทำยังไงที่จะเอาข้อจำกัดเหล่านี้มาเชื่อมโยงกันให้มันเกิดความแข็งแกร่ง เมื่อวันที่เราประกาศนโยบายลงไปที่ฐานราก มีนักวิเคราะห์ฝรั่งเขียนออกมาบอกว่า การใช้นโยบายไปที่ฐานรากช่วชุมชนท้องถิ่นเนี่ย มันไม่ได้เป็นการช่วยจีดีพีหรอก มันต้องไปลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน จีดีพี มันถึงจะก้าวกระโดด ฝากสื่อมวลชนบอกฝรั่งคนนั้นว่า กลับไปเรียนหนังสือใหม่ ถ้าความรู้ไม่พอ ไม่รู้จักเมืองไทยพอ อย่าริอาจเสนอหน้ามาสอนประเทศไทย

วันนี้เราจะเอาข้อจำกัด เอาความแข็งแกร่งของ 3 ภาค มาประสานซึ่งกันและกัน ท่านนายกวันนี้มาเป็นสักขีพยานให้สัญญากับท่านแล้ว งานวันนี้ผมอยากจะให้เป็นของขวัญวันเกิดย้อนหลังอาจารย์หมอประเวศน์ ปีนี้ท่านอายุ 84 ปีเต็ม จะย่างเข้า 85 ปี ทั้งชีวิตท่านทำเพื่อสิ่งนี้ ฉะนั้นก็อยากให้พวกเราทุกคนที่เป็นลูกศิษย์ท่านช่วยกันสานฝันให้อาจารย์หมอประเวศน์ คำถามคือจะทำยังไงหล่ะ งานมันถึงจะเดินไปข้างหน้า?  ท่านอาจารย์ประเวศน์แนะนำว่า มันควรจะต้องมีคนแกร่ง ควรจะมีคณะกรรมการที่ท่านจะค่อยๆ คิดออกมา เพื่อให้เปนกลไกร่วมมือกันระหว่าง 3 ภาคส่วน เพื่อให้ทั้ง 3 ภาคนั้นสามารถเขยื้อน  ไม่ใช่แค่ภูเขา ที่ท่านพูดเมื่อหลายสิบปี แต่ท่านต้องการเอา 3 ภาคนี้มาเขยื้อนประเทศไทย

ฉะนั้นวันนี้ผมมา จะกล่าวกับท่านว่าท่านนายกก็มีเวลาไม่มากนัก ผมก็มีเวลาไม่มากนัก ท่านนายกไม่จำเป็นต้องเอาใจพวกท่าน เพราะท่านไม่คิดจะเล่นการเมือง ส่วนผมนั้น ท่านไม่ต้องเชื่อผมหรอกแต่ขอให้ไว้ใจว่า ถ้าผมยังมีแรงอยู่ ผมจะทำให้ท่าน ผมไม่มีอนาตการเมือง เพราะไม่คิดจะเล่นการเมือง อนาคตของผมที่ผมเห็นในภาพของผมเนี่ย คือผมนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก เล่นกับหลานๆ ผมนะ  นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ แต่ก่อนถึงวันนั้น  ผมอยากให้ทุกท่านมีความสามัคคี ทำให้อาจารย์ประเวศน์สมความมุ่งหมาย สามารถทำให้นายก มีรอยยิ้ม ทุกวัน  ขอบพระคุณมากครับ