โครงการผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง รุ่น 2 ตอนที่ 5

 

                ทั้งหมดที่ผมกล่าวมาเนี่ยมันเป็นตัวอย่างว่า ถ้าเราไม่ปรับเปลี่ยน มันก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ สะสมไปเรื่อย ๆ หลายคนบอกว่าอยากเปลี่ยน แต่การเมืองมันไม่ดี พอการเมืองไม่ดี ทำอะไรไม่ได้ ผมถามว่า การเมืองเมื่อไหร่จะดี ? การเมือง มันไม่ดีเพราะอะไร ?  ประชาธิปไตยในขณะนี้มันเวิร์คหรือเปล่า ? กลไกมันทำงานจริงหรือเปล่า ? หรือเป็นเพียงเปลือกและข้ออ้างของการเป็นประชาธิปไตย ใครที่ได้ประโยชน์ ? ประชาชนได้ประโยชน์จริงหรือเปล่า ? ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าเราเอาพระราชดำรัสของในหลวงมาดู ท่านเคยตรัสไว้ว่า ต้องส่งเสริมคนดี คนมีความสามารถมาบริหารบ้านเมือง ป้องกันคนไม่ดีมาบริหารบ้านเมือง มาคุมกลไกอำนาจ วันนี้ทำได้หรือเปล่า? คิดเอง ตอบไว้ในใจ เราบอกเราเป็นประชาธิปไตย แต่ความโปร่งใสมีหรือไม่ ? มันกลายเป็นข้อเท็จจริงไปเลยว่า ต้องมีการขายเสียง ซื้อเสียง เป็นความจริงที่ขมขื่นแต่ว่ายอมรับทั่วไปว่าเป็นสัจธรรม ถ้าการเมืองซื้อเสียง คุณจะให้คนดีที่เขาไม่มีเงิน ขึ้นมาได้อย่างไร ? คนที่เขาดี เขาไม่มีที่เกาะเกี่ยว เขาก็ต้องยอมเป็นส่วนหนึ่งของการซื้อเสียง ประชาธิปไตยเขาเลือกคนขึ้นมาเป็น สส. ออกกฏหมายที่มีประโยชน์ต่อประเทศชาติ ของเรามีนอมินี จงรักภักดีต่อคนตั้ง อันนี้เขาเรียกว่าประชาธิปไตยหรอ ?

 ถามว่า ถ้าอย่างนั้นเรารู้ปัญหาของประเทศชัดเจน ทำไมเราไม่ตั้งใจจริงจังกับมัน อินโดนีเซียเขาพูดออกมาชัดเจนว่า ที่อินโดนีเซียพลิกมาได้ก็เพราะว่า 1. มันต้องมาจากการนำ 2. ประชาชนต้องมีพลัง ต้องเอาจริง  2 สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก แต่เขาเติมข้อที่ 3 เข้าไป เขาบอกว่าประชาธิปไตยจะเวิร์คได้ก็ต้องเมื่อมีเงื่อนไขข้อที่ 3. ประชาชนต้องรู้ขีดจำกัดความอดกลั้น ว่าแค่ไหนเหมาะสมในการใช้พลังกับประชาธิปไตย ถ้าไม่รู้ว่าอะไรคือความพอดี ประชาธิปไตยจะไปสู่ความสับสน วุ่นวาย บริหารจัดการไม่ได้ อันนี้คือความเป็นจริง

ถ้าคุณค้องการปรับเปลี่ยนประเทศ ไม่ว่าประเทศไหน ทำให้มันดี ดียิ่งขึ้นในอนาคตข้างหน้า คุณต้องการมีเงื่อนไข 2 ข้อ ข้อที่ 1. คุณต้องมีผู้นำ ผู้นำซึ่งมีเจตนาจริง ๆ ในการนำความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น การทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นนั้น ทำมาจากความมุ่งมั่น เจตนาดี ตั้งใจทำงานให้บ้านเมือง ผมเรียนตามตรงนะครับว่าตอนผมเด็ก ๆ เวลาผมเรียนภาษาไทย ผมอ่านหนังสือของ ร.5 อ่านแล้วเราก็ลืมไป แต่พอมาอ่านตอนอายุมากแล้ว ไปหาซื้อมาทุกฉบับเลย เราจะเห็นเลยว่า ร.5 นั้น มองการณ์ล่วงหน้า มองทะลุ ว่าประเทศเรานั้นกำลังมีปัญหานะ กำลังจะถูกกลืนกินนะ ท่านเห็นสิ่งเหล่านี้ล่วงหน้า เสด็จไปต่างประเทศ ไปดูงาน ไปดุว่าจะหาทางออกอย่างไรเพื่อยกระดับประเทศตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ด้วยซ้ำ ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ท่านรู้จักวางวิธีการ ค่อย ๆ เปลี่นแปลงประเทศ จากจุดหนึ่ง มาอีกจุดหนึ่ง เป็นบทเรียนที่ดีอย่างยิ่งสำหรับคนรุ่นหลัง ว่าการที่เป็นผู้นำจะนำความเปลี่ยนแปลงใดนั้น คุณสมบัติข้อที่ 1 เลย ต้องมองการณ์ล่วงหน้า มองการณ์ทะลุ มองการณ์ได้ขาด ว่าอะไรจะเปลี่ยนแปลง อะไรกำลังเกิดขึ้น และหนทางแห่งการแก้ไข คืออะไร  คุณดูเมืองจีน เติ้งเสี่ยวผิงเดินทางมากรุงเทพ เดินทางมาสิงคโปร์ เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว เห็นกรุงเทพ เห็นสิงคโปร์ เจริญกว่าเซี่ยงไฮ้ เขาเห็นทันที เขาพลิกประเทศจีนเลย เขาใช้กลไกตลาดเสรีทันทีเลย ตั้งเขตเศรษฐกิจขึ้นมาให้มีการเปิดเสรี ใช้กลไกตลาดเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศ  

 ข้อที่ 2. คุณคิดคนเดียว คุณทำอะไรไม่ได้ สิ่งสำคัญคือ ความสามารถของคุณในการสื่อสารกับคน ทำให้คนอื่นเขาเห็นด้วยกับคุณ เชื่อมั่นในตัวคุณ เดินตามคุณ คุณเป็นผู้นำ คุณต้องมีผู้ตาม เขาจะตามคุณก็ต่อเมื่อ 1. เขาศรัทธาคุณ ถ้าคุณอยากเป็นผู้นำถามว่าคุณจะเอาผู้ตามมาจากไหน เขาจะศรัทธาคุณจากอะไร? ในโลกนี้คนที่จะเป็นผู้นำได้ต้องสามารถทำตนให้คนอื่นเขาศรัทธา สิ่งเหล่านี้มันคือสิ่งที่ต้องสั่งสมขึ้นมา คุณมองไปในประวัติศาสตร์ทำไมคนอย่าง แมนเดลา ออกจากคุกมาตอนอายุ 71 ปี คนศรัทธาเต็มแอฟริกา เพราะเขาติดคุกตอนอายุ 40 กว่า ไม่ยอมงอเขายอมหัก ถูกจับไปในฐานเป็นกบฏก่อตั้งลัทธิ 27 ปีในคุก แมนเดลากลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ เขาพูดออกมาแล้วคนเชื่อว่าคนนี้มีเจตนาที่ดี เพื่อบ้านเมือง เพื่อส่วนรวม คนเหล่านี้สั่งสม เพราะฉะนั้นถ้าต้องการเป็นผู้นำ คุณจะสร้างสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร? 1. มองการณ์ไกล มองการณ์ขาด 2. สามารถอินสปาย คนมาช่วยกันได้ ข้อที่ 3. ผมเชื่อว่าสำคัญมาก คือ ศิลปะในการบริหารการเปลี่ยนแปลง ผมยกตัวอย่างผู้นำในอดีตมาแล้ว คุณจะรู้จักการใช้คนอย่างไร คุณจะวางขั้นตอนอย่างไรให้มีการเปลี่ยนแปลง   ทำอย่างไรให้คนรู้สึกว่าเปลี่ยนแปลงแล้วดีขึ้น  แต่ข้อสำคัญที่สุดนั้นผมมองว่าเป็นข้อสุดท้าย ความจริงจัง จริงใจ ในการที่จะเปลี่ยนเพื่อแผ่นดิน ความกล้าที่จะทำ ความอดทนที่ไม่ท้อถอย ที่สำคัญ ในประเทศที่กำลังเป็นประชาธิปไตย ผู้นำที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้นั้นต้องเป็นผู้นำของทุกคน พอเป็นผู้นำของทุกคนแล้วเนี่ยทุกคนจะเชื่อว่าคุณทำเพื่อทุกคน คุณพูดมาสิบประโยค เขาจะเชื่อคุณสิบประโยค แต่ถ้าคุณทำตัวเป็นผู้นำของคนเป็นบางส่วน เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง ยังไง ๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นมาได้ ฉะนั้นการเป็นผู้นำ จะต้องเป็นผู้นำที่คนศรัทธาทั้งประเทศ ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง