โครงการผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง รุ่น 2 ตอนที่ 3

เมื่อประมาณปี 02 ประมาณนั้น บราซิลได้ประธานาธิบดีคนใหม่ ท่ามกลางวิกฤตของประเทศที่กำลังจะล้มละลาย ปรากฏว่าพอ IMF เห็นชื่อคนๆ นี้ ตกใจ บอกว่าคนนี้ไม่มีความรู้เลย เป็นผู้นำกรรมกร ผู้นำคนงาน  ไม่รู้ว่า Demand Supply เป็นยังไง เขาชื่อ ลูลา เป็นผู้นำแรงงาน เขาขึ้นมา ประกาศเลยว่า เขาต้องการต่อสู่เพื่อความยากจน เขาต้องการปฏิรูปการเกษตรอย่างจริงจัง บราซิลเหมือนเมืองไทย อุดมสมบูรณ์มาก แตกต่างตรงที่ว่าเขาพูดแล้วเขาทำจริง แล้วเขาพลิกตัวเกษตรกรรมของเขาเป็นสิ่งแรกด้วยเทคโนโลยี หลังจากนั้นบราซิลเหมือนกรุงเทพ ที่กำลังพัฒนา ต้องอุดหนุนเกษตรกรรม ไม่เช่นนั้นอยู่ไม่ได้ เหมือนประเทศเรา ปลูกลำไย อุดหนุนผู้ประกอบการลำไย ปลูกขึ้นมาแล้วขายรัฐบาล  สิ่งที่เขาคิดได้ก็คือเขาลดการอุดหนุน แต่เขาเอาเงินเหล่านั้น งบประมาณที่เหลืออยู่เนี่ย เขาตั้งบริษัทขึ้นมาบริษัทหนึ่ง เน้นเรื่องวิจัย ค้นคว้า ทำเทคโนโลยีอย่างเดียวด้านการเกษตร ปรากฏว่าสิ่งแรกที่เป็นปรากฏการณ์คือทั่วโลกเอาอย่างบราซิล ที่ดินบราซิลมีที่ว่างเปล่ามหาศาล แต่ที่ว่างเปล่าเหล่านี้มีความเป็นกรดสูงมากซึ่งเพาะปลูกไม่ได้ สิ่งที่เขาทำ เขาค้นคว้ามา เขาเอาปูนขาวจำนวนมหาศาลจำนวน 13-20 ล้านตัน โปรยลงในที่ดินเหล่านี้ซึ่งคลุมพื้นที่ประมาณ 20% ของบราซิล ซึ่งปลูกอะไรไม่ได้ เขาโปรยอย่างนี้ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมา แล้วก็องค์กรตัวนี้เนี่ยคิดค้น ตัวแบคทีเรียขึ้นมาตัวหนึ่ง ใส่เข้าไปในดินของเขา ใส่เข้าไปแล้วทำให้ดินเหล่านี้ใช้ปุ๋ยน้อยลง ทีนี้มันเริ่มอุดม หมายความว่าดินเพาะปลูกเพิ่มขึ้นมาได้ 20% สิ่งที่เขาทำต่อไปคือเขาไปเอาหญ้ามาจากแอฟริกา ไปเอาหญ้าเหล่านี้มาที่บริษัทนี้ ทำการบ่มเพาะพันธุ์หญ้าใหม่ออกมาซึ่งให้ผลผลิตสูงกว่าเดิมหลายสิบเท่า เมื่อหญ้ามันขึ้นมาสูงมาก เขาสามารถเพาะพันธุ์วัว ซึ่งเมล็ดทุ่งหญ้าที่เพิ่มขึ้นเนี่ย 20% ของบราซิล ในช่วง 10 ปีนี้ เขาตามติดขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกเรื่องวัวอันดับ 1 แซงอเมริกา ไม่เพียงเท่านั้นบริษัทที่เขาตั้งมาเนี่ยนะ เขาเอาถั่วเหลือง ข้าวโพด เขาหาทางวิจัยว่าทำยังไงเอาสิ่งนี้มาปลูกในดินแดนที่เป็นเมืองร้อนอย่างบราซิล เอาสิ่งนี้มาปลูกปรากฏว่าถั่วเหลืองของเขา เขาเป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่งถั่วเหลือง ผู้ส่งออกเนื้อวัว เป็ด ไก่ เศรษฐกิจของเขาภายในแค่ 8 ปี 2 รอบ ของประธานาธิบดีลูลา สวิงขึ้น

แต่ที่น่าชื่นชมกว่านั้นคือว่า ประธานาธิบดีคนนี้เป็นวัวที่ไม่เคยลืมพื้นฐานของเขา เขาประกาศว่าเขาจะช่วยเหลือคนจน สิ่งที่เขาทำใน 8 ปีแล้วขึ้นชื่อมาก ๆ มี 2 ตัว

ตัวที่ 1 คือ โครงการลงทุนทุกอย่าทั้ง เรื่องไฟฟ้า น้ำ สาธารณสุข บ้าน ลงไปที่กลุ่มคนจน เงินเป็นแสนล้านถูกใส่ไปในนั้นเป็นเวลาสิบปี เขาเอาโครงการที่เขาจะเอาเฉพาะกลุ่มคนที่ยากจน ถ้าเมืองไทยก็เรียกว่า ครอบครัวไหนมีรายได้ ต่อหัว ต่อปี ต่ำกว่า 2,000 เขาเอาเงินใส่เข้าไป  แต่มีเงื่อนไข คุณจะต้องเอาลูกของคุณออกจากการทำงานมาเข้าโรงเรียน ให้มีการศึกษา เพื่อปรับวงจรความยากจน ความครอบครัวไหนรายได้ต่ำติดดิน คือไม่เกิน 1,000 บาทต่อปี เขาก็เอาเงินสด ๆ ใส่ครอบครัวนั้นไป 1,000 บาท สิ่งเหล่านี้เขาต้องยิงตรงสู่ประชาชนเขาก่อน ปรากฏว่า 8 ปี ที่ผ่านมาเขาสามารถยกระดับคนชั้นกลางประมาณ 30 ล้านคน เรื่องนี้ไม่ใช่นิทาน ประธานาธิบดีคนนี้ได้รับรางวัล global leadership เมื่อปี 2010 เป็นคนแรกของโลก ประธานาธิบดีที่ไม่ต้องจบต่างประเทศ ประธานาธิบดีที่มาจากชาวบ้าน แต่เขารู้จักคิด ใช้คน และทำจริง เขาบอกว่าสิ่งที่เขาสามารถบรรลุนั้นไม่ใช่เพราะเขา แต่เพราะว่าคนบราซิลหวังให้เขาเป็นผู้นำของปวงประชา การที่เขาขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีและถ้าเขาทำแค่เพื่อบางกลุ่ม บางเหล่า เขาไม่ใช่ผู้นำบราซิล ฉะนั้นเขาต้องทำให้คนจน คนรวย คนชั้นกลาง นี่คือตัวอย่างจากประเทศบราซิลไปศึกษาดู

(8:07) เมืองไทยที่ผ่านมาอย่างน้อยก็ 4-5 ปีแล้ว เรามีปัญหาจริง ๆ  เรามีปัญหากระทั่งกระทบการลงทุน กระทบการท่องเที่ยว อย่าปฏิเสธผมว่าการลงทุนเราดีขึ้น ไปดูอัตราการเติบโตเมื่อเทียบกับเวียดนาม และอินโดนีเซีย เป็นอย่างไร โชคยังดีนะครับที่การส่งออกของเรานั้นไปได้ ปีนี้อาจจะเหนื่อยหน่อย เพราะว่า 1. เศรษฐกิจโลกมันไม่ได้รุ่งเรืองขึ้นจริง ๆ จัง ๆ  2. มีแต่ผันผวน น้ำมันแพง อาหารสินค้า แพงขึ้น  ความเหนื่อยนี้เมื่อเทียบกับพื้นฐานที่เรามีมันจะเหนื่อยน้อยกว่าคนอื่นเขา ถ้าเราเอาใจใส่กับมัน บริหารอย่างจริงจังตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่อย่างนั้นจะเอาไม่อยู่ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่รัฐอ่อนแอ เมื่อนั้น มือใครยาว สาวได้ สาวเอา ขอให้ใครมาร่วมมือเขาก็ไม่ร่วม ทุกคนคิดว่าเอาตัวรอดก่อน นี่คือสัญญาณของประเทศซึ่งขาดพลังแห่งการขับเคลื่อน การส่งออกที่มันยังแข็งอยู่นั้น เพราะเอกชนใช่ไหม ? ที่เขาดิ้รรนตัวเป็นเกลียว แต่เอกชนส่งออกได้เพราะอะไร มีอยู่แค่ 2 ข้อ

 ข้อที่ 1.  เป็นเพราะว่าเราโชคดีที่ในอดีตนั้นเรามีการรุกทางการฑูตทางต่างประเทศ 10 ปีที่ผ่านมาไปดูการเติบโตของการส่งออกของเมืองไทย ส่งออกไปอเมริกาเพิ่มขึ้นแค่เพียง 12%  ส่งไป EU เพิ่มขึ้นเพียง 45% แต่ 10 ปีที่ผ่านมานั้น ส่งไปอินเดียกว่า 500% ในการเติบโต ส่งไปจีนมากกว่า 500% ส่งไปอาเซียนกว่า 150% ส่งไปออสเตรเลียเกือบ  500%  มันทำให้เราสามารถรุกไปเร็วกว่าคนอื่นเขา 

ข้อที่ 2. มันมาจากความสามารถในการแข่งขันของสินค้าที่ผลิต ความสามารถทางการแข่งขันนั้นไม่ใช่จู่ ๆ จะมีขึ้น แต่มันมาจากการสั่งสม เมื่อไหร่ที่คุณไม่ลงทุนเพื่ออนาคต เอาแต่ชื่นชมปัจจุบัน วันนี้ส่งออกเท่าไหร่ JDP เท่าไหร่ เมื่อนั้นฐานแห่งอนาคตมันจะหายไป ถ้าการฑูตเชิงรุก การเจรจาการค้าเชิงรุกหยุด การลงทุนเพื่ออนาคตหยุด  อนาคตที่ผมว่าการส่งออกแข็ง ส่งออกได้ แม้บ้านเมืองจะไม่ดีนั้น มันก็จะส่งออกไม่ได้ มันก็จะถดถอยลง ถามตัวเราเองว่าใน 5 ปีที่ผ่านมา การค้าเชิงรุกของเราที่เปิดตลาดใหม่ ๆ คืออะไรบ้าง ? เจรจาระหว่างประเทศมีประเทศไหนบ้างที่โดดเด่น ถามตัวเราเองว่าใน 5 ปีนี้ เรามีอะไรบ้างในเรื่องของ IT โลจิสติกส์ ในเรื่องที่มีความจำเป็นแห่งอนาคตข้างหน้า เดือนหน้าถ้าจำไม่ผิดลาวจะเริ่มก่อสร้าง ไฮสปีด เทรน  ปีหน้าเขมรจะเริ่ม ไฮสปีด เทรน ต่อจากเมืองจีน ประเทศไทยคนเขารออยู่ ทำอะไรอยู่ ? ผมเจรจากับนักธุรกิจจีน เขาบอกว่าประเทศจีนนั้นรออยู่เส้นมันต่อจะครบอยู่แล้วเหลือจิ๊กซอว์ตัวเดียคือประเทศไทย ทุกอย่างวางไว้หมดแล้วแต่ยังไม่ได้รับคำตอบ ผมบอกว่าท่านอาจจะแปลกใจว่าดีไม่ดี ประเทศไทยจะเป็นประเทศเดียว ที่เส้นทั้งเส้นนั้นของประเทศไทย อาจจะไม่ใช่รถไฟจากจีน อาจจะมีแต่ชาติอื่นโผล่มา สิ่งเหล่านี้นั้นถ้าไม่ลงทุนเราจะเอาอะไรไปแข่งกับเขา เรารู้ว่าการแข่งขันมีความสำคัญสูงยิ่ง